Post#2-251:
เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ผมมีนัด Dinner Meeting กับหุ้นส่วนท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อคุณ B ก็แล้วกันนะครับ)
ประเด็นที่ผมต้องมาพบคุณ B ก็เนื่องมาจากผมจำเป็นจะต้องมารับฟังปัญหาจากงานที่คุณ B รับผิดชอบอยู่ เพื่อที่จะช่วยท่านหาแนวทางปรับปรุงและแก้ไข
เวลาที่เราเจอปัญหาประเดประดังเข้ามาพร้อมๆ กันในขณะที่สภาพจิตใจไม่ปกตินั้น มันดูเหมือนชีวิตจะมืดแปดด้านไปเลยทีเดียว มองซ้ายก็มืด มองขวาก็บอด
ในช่วงแบบนี้ การมีใครสักคนมาช่วยฟังช่วยคิด ก็ทำให้ปัญหาที่มีดูเล็กลงไปได้บ้าง
...
ช่วงที่เราเจอมรสุมชีวิต เราเลือกได้ว่าจะนั่งสงสารและสมเพชตัวเอง หรือเลือกที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อทั้งๆ ที่ใจยังบาดเจ็บ
ถ้าเลือกที่จะมัวแต่สงสารตัวเองไปวันๆ แล้วรอให้มีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วย ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสนั้นได้สักกี่ครั้ง
ตรงกันข้าม อย่างน้อยการที่เราฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นมาสู้ ก็จะทำให้เราเข้าใกล้กับความสำเร็จมากกว่าการนั่งสงสารตัวเองแน่ๆ
คนที่น่าสงสารที่สุด ก็คือคนที่มัวแต่พิลาปรำพันคร่ำครวญหวนไห้ไม่รู้จบรู้สิ้นน้่นแหละครับ...ในเมื่อจมอยู่แต่กับอดีต ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน แล้วจะไปมีปัญญาสร้างอนาคตใหม่ได้ยังไง
สุดท้าย อนาคตจึงมีแต่อับปางไปกับเรือชีวิตผุๆ พังๆ ที่มีกัปตันใจฝ่อเป็นคนบังคับเรือ
...
ดังนั้น ทางออกของทุกปัญหาจึงเริ่มจากการเชื่อมั่นและคิดอย่างจริงจังที่จะหาทางออกซะก่อน ไม่ใช่คิดอยู่แต่ว่าไม่มีทางออก หรือไม่มีทางแก้ แล้วก็เลยนั่งกลุ้มมันอยู่อย่างนั้น
ชีวิตไม่มีแพ้หากเราไม่คิดจะยอมแพ้ ถ้าคิดจะสู้แล้วล่ะก็ แม้โอกาสชนะมันจะน้อย แต่ยังไงมันก็ยังมากกว่ายอมแพ้ก่อนที่จะสู้อยู่ดี
...
Thomas A. Edison นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เคยกล่าวไว้ว่า "I have not failed. I have just found 10,000 ways that won't work."
แปลว่า "ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมเพียงแค่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ไม่ถูกต้อง เท่านั้นเอง"
ถ้า Edison ยอมแพ้ง่ายๆ วันนี้เราก็คงต้องอยู่กับความมืดมิดในยามรัตติกาลโดยไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟ
ถ้าเรายอมแพ้ง่ายๆ วันข้างหน้าเราเองก็คงต้องอยู่กับความหมองหม่นของชีวิตเช่นกัน
เราเลือกชีวิตของเราเองได้ครับ ว่าจะอยู่อย่าง "คนขี้แพ้" หรือ "คนสู้ชีวิต" ^^
Comments
Post a Comment