Skip to main content

Post#2-259: คนเมืองผู้แสนเก่งกาจและมีความสุข

Post#2-259:
เคยสงสัยมั๊ยครับ ว่าผู้คนที่ไม่ได้อาศัยในสังคมเมืองเค้าใช้ชีวิตวันหยุดกันแบบไหน?

ตั้งแต่จำความได้ (นานมากแล้ว^^) ผมก็เป็น "คนเมือง" ที่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาธรรมชาติไม่ใช่แค่เป็นศูนย์ แต่อยู่ในระดับติดลบ

วันหยุดคนเมืองจะทำอะไรนอกจากเดินห้างฯ ทาน fast food และ shopping ส่วนคนนอกเมืองที่เรามักจะคิดว่าเค้าเป็นพวกชนบทน่ะ นอกเวลางานแล้ว ชีวิตทุกๆ วันของพวกเค้าก็เหมือนวันหยุด

ในขณะที่เด็กเมืองทั่วไปต้องอุดอู้ในห้องแคบๆ และมีแต่ TV เป็นเพื่อน ต่างจากเด็กอีกกลุ่ม ที่มีท้องทุ่งเป็นห้องรับแขก และมีเพื่อนๆ อีกกลุ่มใหญ่ ไปไหนไปกัน

เด็กๆ ที่ไม่ได้อาศัยในเมืองจึงมีสภาพร่างกายแข็งแรง แถมด้วยมีวิชาธรรมชาติศึกษาที่แข็งแกร่ง ต่างจากเด็กเมืองที่มีแค่นิ้วเท่านั้นล่ะครับที่แข็งแรง (แต่ขาน่าจะลีบ)

ถ้าคนเมืองไม่มีเงินเค้าจะอดตายแน่นอน แต่ถ้าคนนอกเมืองไม่มีเงิน พวกเค้าย้งมีวิชาชีวิตสำหรับปลูกผัก, จับปลา หรือหาผลผลิตจากธรรมชาติ ไว้ยังชีพได้อย่างไม่อนาทร

...

วัตถุต่างๆ ที่คนเมืองดิ้นรนไขว่คว้ามาครอบครองถึงขนาดยอมเป็นหนี้เป็นสินน่ะ มีสักกี่ชิ้นที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในแต่ละวัน? นอกนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสิ่งฟุ้งเฟ้อที่มีไว้เพื่อตอบสนอง Social Status (ที่แท้จริงเป็นภาพลวงตา ก็เท่านั้น)

เราโดนหลอกให้เชื่อว่า ต้องครอบครองสิ่งเหล่านั้น จึงจะมีความสุข...แท้ที่จริงเราต่างสูญเสียความสุขไปนับตั้งแต่วินาทีที่ใจเรารุ่มร้อนเพราะต้องการครอบครองต่างหาก

วิถีชีวิตแบบคนเมืองจึงไม่น่าถูกนำไปแปดเปื้อนวิถีชนบท ชีวิตที่บูชาวัตถุควรจะถูกจำกัดไว้แค่คนเมืองที่ยากจะกลับสู่ธรรมชาติแล้วเท่านั้น...ชีวิตไทยที่ถูกวิถีน่าจะเป็นชีวิตของคนนอกเมือง ที่ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้มั่งมี แต่มั่งมีพอแล้วกับสิ่งที่มีอยู่

พวกเค้าเพียงพอแล้วกับความพอเพียงที่มี...พวกเราต่างหากที่น่าสงสาร เพราะแค่คำว่า "พอ" เรายังสะกดไม่เป็น

...

ยิ่งคิดยิ่งอยากให้มีการบรรจุหลักสูตร Survival หรือไม่ก็หลักสูตร Back to Nature ให้กับเด็กๆ ในเมืองจริงๆ ครับ เอาให้มันเป็นหลักสูตรภาคบังคับตั้งแต่ประถมปลายไปจนจบปริญญาตรีเลย

ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิก็ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลหรอกครับ ก็พี่น้องชาวคนนอกเมืองของเรานี่แหละครับ เก่งที่สุดแล้ว

ใครรู้จักท่าน รมว.กระทรวงศึกษาฯ ฝากไปนำเสนอท่านหน่อยสิครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...