Post#2-240:
บ่ายวานนี้ ผมมีนัดประชุมกับลูกค้ารายหนึ่ง ด้วยเหตุที่ลูกค้าหยุดคำสั่งซื้อไปนาน โดยที่ทีมงานไม่สามารถตอบได้ว่าทำไม?
บางครั้ง ปัญหาที่ค้างคาอยู่อาจไม่ใช่เรื่องหนักหนาแต่อย่างใด หากแต่ที่ยังแก้ไม่ได้เป็นเพราะ ทีมงานอาจจะยังจริงจังไม่พอในการแก้ปัญหา
เช่นเดียวกับปัญหาที่ผมเจอกับลูกค้ารายนี้...
เมื่อเราไปพร้อมคำขอโทษ (ไม่ต้องสนใจว่าเราจะผิดหรือถูก เพราะลูกค้าย่อมถูกเสมอ) และขอโอกาสในการแก้ปัญหา ลูกค้าก็ยอมเปิดใจคุยกับเรา
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครอยากจะมีปัญหาอะไรกับคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลอยู่แล้วครับ ดังนั้น ถ้ามาคุยกัน หาทางออกร่วมกันอย่างจริงใจแล้ว ปัญหาที่มีก็จะลดทอนลงได้
เมื่อเจอปัญหา...แปลว่าเดินหน้าต่อไม่ได้ ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงต้องเริ่มต้นจากการถอยคนละก้าว ออกจากจุดเดิมที่เจอกำแพงของปัญหานั้น
แต่ถ้าเจอกำแพงปัญหาแล้ว ยังฝืนเดินหน้าต่อ นอกจากการพังกำแพงให้ทลายลงแล้ว ก็ไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้
หากแต่การแก้ปัญหาด้วยการพังกำแพงนั้น ต้องประเมินถีงเศษซากของความเสียหายที่เหลืออยู่ประกอบด้วย ว่าคุ้มหรือไม่ที่จะแลกความสำเร็จด้วยความบอบช้ำของคนอื่น?
เวลามองปัญหาจึงจำเป็นต้องมองจากภาพใหญ่ มองรอบๆ เพื่อหาทางที่ดีที่สุด แต่เวลาลงมือแก้ปัญหาต้องลงรายละเอียดทีละขั้นทีละตอนจึงจะแก้ได้
จากประสบการณ์ของผม ส่วนใหญ่แล้ว ความล้มเหลวในการแก้ปัญหา ไม่ได้เกิดจากไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แต่มักเกิดจากการหาหนทางแก้ปัญหาด้วยมุมมองที่แคบ ไม่ยอมพลิกผันตามสถานการณ์ แต่กลับลงมือแก้ปัญหาแบบกว้างๆ และไม่จริงจังที่จะแก้ปัญหา ซะล่ะมากกว่า
ขอให้ทุกท่านก้าวข้ามปัญหาที่เผชิญอยู่ไปได้ด้วยดีครับ ^^
Comments
Post a Comment