Skip to main content

Post#2-264: เข้าใจอย่างลึกซึ้ง+ปรับตัวอย่างเท่าทัน

Post#2-264:
ผมพึ่งจะเสร็จจาก Dinner Meeting กับหุ้นส่วนชาวต่างชาติที่บินมาประชุมกับลูกค้า

หลังจากที่พวกเค้าตระเวนพบปะและเจรจากับลูกค้าที่เรานัดประชุมไว้ครบถ้วน จึงเป็นที่มาของการประชุมมื้อค่ำในวันนี้

สำหรับผม มันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องทำให้หุ้นส่วนเข้าใจสภาพตลาดและเข้าใจลูกค้าอย่างชัดเจน หาไม่แล้วผมก็จะไม่สามารถที่จะพูดคุยกับหุ้นส่วนด้วยกรอบความเข้าใจเดียวกันได้

ในการทำงานกับชาวต่างชาติ นอกจากภาษาที่มักจะเป็นอุปสรรคแล้ว ก็มีเรื่องของความแตกต่างด้านวิธีคิด รวมไปถึงวัฒนธรรมและประเพณี รวมอยู่ด้วย

ถ้าพวกเค้าไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานนี้ การที่จะไปเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง...เปรียบเสมือนถ้าไม่เข้าใจรากเหง้าแล้วไซร้ ก็ย่อมยากจะเข้าใจดอกผลฉะนั้น

ศาสตร์หนึ่งที่นักการตลาดและนักขายพยายามนักพยายามหนาที่จะสรรค์สร้างขึ้น ก็คือศาสตร์แห่ง "พฤติกรรมพยากรณ์" หรือเรียกให้ง่ายก็คือ ทำยังไงเราจึงจะคาดเดาความเคลื่อนไหวของลูกค้าได้ล่วงหน้า

หากยกเรื่องกงล้อแห่งประวัติศาสตร์มาอ้างอิงแล้วไซร้ การเข้าใจความเป็นมาในอดีตได้ถูกต้องเพียงใด ก็ย่อมอาจส่งผลให้เข้าใจความเป็นไปในอนาคตได้เฉียบคมยิ่งขึ้นเท่านั้น

...

เวลาเอ่ยถึงเรื่อง "เข้าใจลูกค้า" ผมอยากให้ตีความให้ชัดเจนว่า ความเข้าใจที่หมายความกันอยู่นั้น หมายถึงต้องเข้าใจในระดับลึกซึ้งไม่ใช่ผิวเผิน...

ถามว่า เราจะแยกออกได้ยังไงว่าเป็นระดับลึกซึ้งหรือผิวเผิน?

ผมก็จะตอบว่า เข้าใจระดับผิวเผิน คือบอกได้ว่าลูกค้ามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง รู้ได้เพราะลูกค้าบอก ไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์ใดๆ ไม่ได้ลงลึกไปถึงต้นตอของปัญหา

ส่วนระดับลึกซึ้งนั้น นอกจากรู้ว่าลูกค้ากำลังประสบปัญหาอะไรแล้ว ย้งต้องบอกได้ว่า ปัญหานั้นส่งผลให้ลูกค้าประสบความยุ่งยากยังไงบ้าง แล้วจะต้องสามารถนำเสนอแนวทางแก้ปัญหานั้นให้ได้ด้วย

องค์กรที่ประสบความสำเร็จระดับโลกล้วนเป็นองค์กรที่สนใจที่จะแก้ปัญหาให้กับลูกค้าในระดับลึกซึ้งทั้งสิ้น

หากแต่ถ้าจะเป็นองค์กรที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับนั้น นอกจากจะต้องเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งแล้ว ยังจะต้องมีความคล่องในการปรับสภาพตัวเองให้เหมาะกับการแข่งขันอีกด้วย เพราะหากเข้าใจแต่ปรับสภาพไม่ทัน ก็ไม่สามารถจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้นั่นเอง

ดังนั้น หากเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ก็จะทำให้องค์กรเติบโตอย่างมั่งคั่ง และหากเติมความคล่องในการปรับตัวเข้าไป ก็จะทำให้ยั่งยืนนั่นเองครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...