Post#2-262:
เมื่อปีก่อนนู้น (Post#215) ผมเคยคุยให้ฟังถึงเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักจะ "คิดมาก" กับ "คิดไปเอง" และไม่น่าเชื่อว่าวันนี้เรื่องนี้จะกลับมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง
ที่ว่าตามมาหลอกหลอนนั้น เป็นเพราะอดีตลูกน้องของผมคนหนึ่งกำลังโดนอาการนี้คุกคามอย่างหนัก และสุดท้ายก็มากระทบผมเข้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อครั้งที่ผมยังมีเวลาดูละคร ที่ไม่นางเอกก็พระเอก มักจะถูกนางร้ายหรือนางอิจฉาเป่าหู แล้วก็เอาไปมโนต่อเอง ทำให้เข้าใจผิดไปใหญ่โต...ดูแล้วผมก็ได้แต่ส่ายหัวและขำแบบเซ็งๆ ว่านี่มันเซ่อกันได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ
มาวันนี้ ผมขำไม่ออกเอาจริงๆ เพราะผมเจอละครซ้อนชีวิตจริงอยู่ชัดๆ ได้แต่ปลงอนิจจังในใจ ว่าเป็นไปได้หนอคนเรา
...
จริงๆ แล้วทั้งการคิดมากและคิดไปเองนี่ ถือเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่แบบ Nuclear Fusion ที่หากเกิดขึ้นแล้ว หยุดได้ยากเหลือเกิน ดังนั้น เมื่อคิดมากไปเรื่อยเปื่อย ก็มักจะคิดต่อเติมไปเองอีกหลายเรื่อง
ลงท้ายก็เลยกลายเป็นการสะกดจิตตัวเองไปว่าสิ่งที่มโนไปเองนั้น เป็นเรื่องจริง และที่แย่ก็คือตัวเองก็ดันปักใจเชื่อจนไม่เหลือสติพิจารณาว่า ความจริงหรือเหตุผลของคนอื่นเป็นยังไงกันแน่
เมื่อผมต้องเผชิญกับคนที่อยู่ในอาการนี้ ผมเลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดครับ อธิบายไปก็เปล่าประโยชน์ โกรธไปก็เท่านั้น ยิ่งไปทะเลาะด้วยนี่ก็กลายเป็นเราบ้า
ได้แต่ปลง แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้คุณพระคุณเจ้าอำนวยพรให้เค้าได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ตื่นจากฝันร้ายที่ขังเค้าไว้ในมิจฉาภวังค์...
เรื่องแบบนี้ไม่เจอกับตัวเองก็พูดยากอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะบางขณะที่ผมเองโดนโมหะจริตเข้าครอบงำ ก็ทำให้หลงอยู่ในวังวนของความคิด เหมือนกับหลงอยู่ในเขาวงกตเช่นกัน
ดังนั้น การทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันจึงเป็นเรื่องดีกับตัวเรา ได้มองตัวเราเสมือนเป็นคนนอกบ้าง ก็จะไม่ทำให้เราเข้าข้างตัวเองแบบผิดๆ
...
ยิ่งพิจารณาเรื่องสติบ่อยขึ้นเท่าไหร่ ผมยิ่งชิงชังความดำมืดแห่งมิจฉาอารมณ์ของมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น...สงสัยคืนนี้คงต้องสวดมนตร์ขอพรพระท่านนานเป็นกรณีพิเศษ ว่าขอให้ผมดำรงสติมั่นได้ ไม่ว่าจะโดนมิจฉาอารมณ์ของใครมากระทบก็ตาม
Post นี้ ผมตั้งใจเตือนสติตัวเองเป็นการเฉพาะ ก็เลยถือโอกาสเตือนตัวเองดังๆ เผื่อไปยัง Fanpage ทุกท่านด้วยครับ
Comments
Post a Comment