Post#2-241:
ค่ำวานนี้ ผมไปประชุมงานกับเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่ง
หลังจากประชุมเสร็จก็คุยเล่นกันอีกเล็กน้อย และหนึ่งในหัวข้อที่คุยกันก็คือเรื่อง "ดูดวง"
ในช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ ดูเหมือนว่าหลายๆ คนจะใช้บริการ "ดูดวง" มากเป็นพิเศษ
แม้ว่าส่วนตัวผมจะไม่ค่อยเชื่อเรื่อง "ดวง" ซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ฟังเอาซะเลย ประมาณว่า ถ้าใครมาทักก็ฟังไว้เตือนตน ประมาณนั้นล่ะครับ
คราวนี้ ลองมาวิเคราะห์ในมุมของผมดูนะครับ...
สมมติว่า หมอดูทายทักว่าดวงกำลังจะรวย ถามว่า ถ้าอยู่เฉยๆ โดยไม่ลงมือทำอะไรเลย จะรวยมั๊ยครับ?
แล้วถ้าสมมติว่า หมอดูทายทักว่าดวงกำลังจะอับจน เราก็เลยมัวแต่ซุกตัวหลบปัญหาอยู่แต่ในบ้าน จะไม่กลายเป็นว่า เราเป็นคนสร้างความอับจนให้กับตัวเราหรือเปล่าครับ?
ถ้าดวงคือเรื่องของฟ้าลิขิตจริง พยายามให้ตายก็ไม่อาจจะฝืนดวงไปได้ ดังนั้น ไม่ว่าดวงจะนำพาให้ชีวิตมุ่งไปทางใด เราจึงต้องทำความเข้าใจและรับมือกับสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาล่วงหน้าไว้เสมอ
แต่ก็ไม่ใช่จะมัวมาทอดอาลัยให้กับชีวิตนะครับ เพราะแม้จะเกิดมาแล้วต้องตายทุกคน หากแต่ตายอย่างภาคภูมิกับตายอย่างทอดอาลัยนั้น คุณค่าที่เหลือไว้มันต่างกันมากนัก
...
ดังนั้น เราฟังคำทายทักจากหมอดูได้ แต่ให้ฟังเป็นแนวทาง ไม่ใช่เอามาเป็นสรณะ
หาไม่แล้ว หากเชื่อหมอดูไปซะทั้งหมดแบบสุดลิ่มทิ่มประตู มิกลายเป็นเราโดนจูงไปไหนมาไหน โดยไม่สามารถคิดหรือเลือกทางชีวิตได้เองเลยหรือไงครับ?
...
เรา "เชื่อ" คำทำนายทายทักได้ แต่อย่าให้ถึงกับ "งมงาย" เลยครับ (Post#2-113) หมายความว่า เรา "เชื่อ" เพื่อไว้ "เตือนตน" หาใช่ไว้ใช้ "ลิขิต" ชีวิตของเรา
ถามว่าเส้นแบ่งของ "เชื่อ" กับ "งมงาย" นั้น อยู่ตรงไหนกันแน่?
สำหรับผม เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ "เชื่อ" โดยไม่มี "สติ" มาประกอบนั่นล่ะครับ เรากำลังก้าวเข้าสู่ "ความงมงาย" แล้ว
ในยามที่กำลังใจอ่อนล้า และกำลังกายอ่อนด้อย เมื่อนั้นย่อมทำให้กำลังสติอ่อนแรง เป็นเหตุให้เราหลงไปในทางอบาย จมลงสู่ความงมงายได้อย่างไม่ทันระวัง
ขออาราธนาคุณพระคุณเจ้า ได้โปรดอำนวยพรให้ทุกท่าน ถึงพร้อมด้วยกำลังใจ, กำลังกาย และกำลังสติ เพื่อก้าวผ่านช่วงยากลำบากนี้ไปได้ด้วยดีครับ
Comments
Post a Comment