Post#2-246:
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมประชุมกับทีมงานที่ดูแลแผนกหนึ่งของบริษัทแห่งหนึ่ง
เมื่อผมยกประเด็นที่เกี่ยวกับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทีมงานนั้นก็ยกว่าเป็นความผิดของฝ่ายและแผนกอื่นได้ทุกครั้งไป
หลังจากประชุมกันอยู่นาน ผมเห็นว่าคงไม่เป็นการดีกับการมีทัศนคติแบบนี้ ผมจึงต้องเปิด lecture ยาวๆ
เนื้อหาสำคัญที่ lecture ทีมงานไปก็คือ "การกวาดบ้านของเราเอง" ให้น่าอยู่
ในที่นี้หมายถึงการจัดการงานของตัวเองให้ดีซะก่อน อย่าพึ่งไปว่าคนอื่นว่าไม่ดีอย่างนั้น แย่อย่างนี้ หรือเวลาใครมาตำหนิหรือกล่าวโทษเรา แทนที่เราจะหันมาพิจารณาตัวเอง เรากลับไปหาจุดผิดพลาดของผู้อื่น
...
ถ้าว่ากันตามภาษาของเจ้านายเก่าของผมท่านหนึ่ง ท่านก็มักจะมีประโยคติดปากไว้คอยสอนลูกน้องว่า "ชี้เข้า อย่าชี้ออก" (ผมเคยแชร์ไว้ครั้งหนึ่งนานมากแล้วใน Post#252)
โดยสาระสำคัญที่ท่านพร่ำสอนก็คือ ถ้างานของเรายังมีข้อบกพร่อง เราก็ไม่มีหน้าจะไปว่าคนอื่น ต่อเมื่อเราจัดการงานของเราได้เป็นอย่างดีแล้ว เราจึงพอจะหันไปมองงานของคนอื่นได้บ้าง
ลึกๆ แล้ว ท่านสอนให้เราเข้าใจว่า "การชี้เข้า" ก่อให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนา ส่วน "การชี้ออก" ก่อให้เกิดการกล่าวโทษและการย่ำอยู่กับที่
หลักที่ท่านสอนก็สอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิตล่ะครับ...จะเปลี่ยนคนอื่นนั้นแสนยาก เปลี่ยนตัวเรานั้นง่ายกว่า หรือมองความผิดคนอื่นนี่เก่งกันจัง แต่ความผิดของตัวเองมักจะมองข้ามไป
...
ที่พูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า ทีมงานนั้นเป็นฝ่ายผิด และก็ไม่ได้หมายความว่า ทีมอื่นเป็นฝ่ายถูกหรือผิด หากแต่ผมกำลังจะชี้ประเด็นว่า การที่เราจะแก้ปัญหาขององค์กรได้แบบยั่งยืนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกทีมจะต้องปรับทัศนคติให้รู้จัก "ชี้เข้า" ไม่ใช่มัวแต่ "ชี้ออก"
การชี้เข้าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาแบบ Constructive ซึ่งหมายถึงการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ที่ทุกคนในทีมหันมามองตัวเองและพยายามจะทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด
ส่วนการชี้ออกจะนำไปสู่การแก้ปัญหาแบบ Destructive ซึ่งนอกจากไม่ได้แก้ปัญหาที่มีอยู่แล้ว ยังก่อให้เกิดรอยร้าวในองค์กร เพราะเป็นการหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองด้วยวิธีการทำลายล้างทีมอื่น
ถ้านึกไม่ออกว่า Constructive Solution กับ Destructive Solution ต่างกันยังไง ก็ลองนึกถึงการแก้ปัญหาแบบนักการฑูตกับนักการเมือง (บางประเทศ) ดูก็ได้ครับ -"-
Comments
Post a Comment