Skip to main content

Post#2-256: "อยากรู้" ถูกเรื่องมั๊ยนะ?

Post#2-256:
บ่อยครั้งเกินกว่าจะนับไหว ที่ผมพบว่า น้องๆ หลายคนแยกไม่ออกเอาซะเลยจริงๆ ว่า "อยากรู้" กับ "ต้องรู้" นั้น ไม่เหมือนกัน (ในที่นี้ผมว่ากันถึงเรื่องงานนะครับ)

เรื่องบางเรื่องที่เราในฐานะคนรับผิดชอบ "ต้องรู้" แต่เรากลับไม่รู้ แล้วพอนายถามว่าทำไมไม่รู้ เราก็มักจะตอบว่า "ไม่มีใครบอก"

และนั่นก็แสดงให้เห็นถึงสำนึกที่เรามีต่อหน้าที่การงานที่หาเลี้ยงชีพของเรา เพราะการตอบว่า "ไม่มีใครบอก" ก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่า เราขาดความขวนขวายที่จะเรียนรู้และเข้าใจในงาน

แต่น่าแปลกนะครับ ถ้าถามเรื่องดาราว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร หรือถามว่ากระทู้ไหนเด็ดในพันทิพย์ หรือถามว่า วันนี้เจี๊ยบเลียบด่วนคุยเรื่องไหน...ไอ้คนที่ถามเรื่องงานแล้วตอบไม่ได้เมื่อกี้นี้ จะกลับกลายเป็นรู้ทุกเรื่อง ปราดเปรื่องทุกอย่างขึ้นมาทันที

ไอ้เรื่องที่ "ไม่ต้องรู้" ก็ได้ กลับกลายเป็น ช่างดั้นด้นขวนขวาย "อยากจะรู้" ขึ้นมาซะอย่างนั้นเอง

...

ดังนั้น ที่ผมเล่ามาข้างต้น ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนล่ะครับ ว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ "ต้องรู้" เราก็จะรู้ได้เมื่อ "อยากรู้" นั่นเอง

ทำไมเราจึงมักอ้างว่า "ไม่มีใครบอก" เวลาเป็นเรื่องงาน แต่ไม่เคยพูดแบบนี้ ถ้ามันเป็นเรื่องปกิณกะบันเทิง?

ทำไมเรา "อยากรู้" ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องงานที่เกี่ยวพันกับรายได้และความก้าวหน้าของชีวิต?

...

ผมว่า เราต้องหันมาบอกตัวเองบ่อยๆ ว่าเรื่องงานต้องขวนขวายให้มากขึ้น ในขณะที่เรื่องรื่นรมย์ต้องคุมให้อยู่ในระดับพอประมาณ

รู้เรื่องงานมากขึ้น โอกาสก้าวหน้าก็มากขึ้น แต่รู้เรื่องบันเทิงมากๆ ถามว่าจะมีโอกาสเป็น "แฟนพันธุ์แท้" ได้ซักกี่คน?

ถ้าใช้ชีวิตการงานแบบมักง่าย ระวังจะมีชีวิตส่วนตัวในภายภาคหน้าแบบแร้นแค้น แต่หากใช้ชีวิตการงานอย่างเหมาะสม ก็คู่ควรกับการมีชีวิตส่วนตัวในภายหน้าอย่างรื่นรมย์

...

มีไม่กี่คนบนโลกที่สามารถประสบความสำเร็จโดยทางลัด เช่นเดียวกับมีไม่กี่คนที่ถูกล็อตตารี่รางวัลใหญ่...อย่ามัวหลงไปชื่นชมความสำเร็จและความร่ำรวยแบบนั้นเลยครับ

จะภูมิใจใช่มั๊ยครับ? ที่ได้เป็นเจ้าของกิจการแบบได้รับมรดกมา หรือจะเชิดหน้าได้ใช่มั๊ยครับ? ถ้าร่ำรวยมาจากการเสี่ยงโชค

ถ้าไม่อยากจะสมเพชตัวเองตอนแก่ ก็ต้องเริ่ม "อยากรู้" ในสิ่งที่ "ต้องรู้" ตั้งแต่วันนี้แล้วครับ...รอพรุ่งนี้ก็สายเกินไปแล้ว

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...