Skip to main content

Posts

Showing posts from June, 2015

Post#2-296: ฉาบฉวย

Post#2-296: ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยโดนหลอกเพราะหีบห่อหรือบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามกันมาบ้างแล้ว เริ่มตั้งแต่สมัยเป็นเด็กตัวน้อย ที่ซื้อขนมเพราะที่ห่อมีรูปตัวการ์ตูน ส่วนขนมจะอร่อยมั๊ย เด็กๆ ไม่ค่อยจะสนใจ เติบโตขึ้น เราก็เอาเงินไปหมดกับสินค้า Brand Name โดยไม่ได้ดูเลยว่า สินค้าชิ้นนั้นมันเข้ากับตัวเรามั๊ย ขอให้มี Logo ที่ High-So เท่านั้นเป็นพอ ความฉาบฉวยเหล่านี้ ถ้ามีอยู่ในระดับกำลังเหมาะก็ไม่น่าเกลียดอะไร แต่ถ้ามีมากเกินพอดีเมื่อไหร่ก็รังแต่จะสร้างความหายนะให้กับตัวเรามากเท่านั้น ... เราอาจจะนึกว่า ความฉาบฉวยนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรเลย แต่ถ้านิสัยแบบนี้ติดตัวเราแบบฝังรากล่ะจะเป็นยังไงบ้าง? เรามิกลายเป็นพวกมองคนแต่เปลือกนอก, หลงชอบเค้าเพราะพูดจาไพเราะ, คบคนเพราะฐานะ, ตีราคาคนจากเสื้อผ้า, ฯลฯ ผมไม่ได้แอนตี้เรื่องความโก้หรู แต่แค่สะกิดให้มองลึกอีกหน่อยครับ เราติดแต่เปลือกนอกจนมองไม่ทะลุถึงแก่นในรึเปล่า? เปลือกนอกควรเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของคนหรือสิ่งที่เรากำลังพิจารณา...เรามีกิเลสได้ แต่ต้องเป็นกิเลสที่มีสติกำกับครับ ขนมที่มีหีบห่อสวยแต่ไม...

Post#2-295: Chemistry ไม่ตรงกัน

Post#2-295: เชื่อว่า หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินคำว่า "Chemistry ไม่ตรงกัน" กันมาบ้างนะครับ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมเราถึงรู้สึกว่าเราทำงานร่วมกับคนๆ นั้นไม่ได้ ทั้งที่คนอื่นก็เข้ากับเค้าได้ดี แถมคนอื่นที่ว่าก็เข้ากับเราได้อย่างไม่มีปัญหา สำหรับผม การที่ Chemistry ไม่ตรงกันนั้น เกิดจากส่วนประสมหลายๆ อย่างที่เรากับเค้ามีต่างกันมากเหลือเกิน แต่ผมจะให้น้ำหนักของปัจจัยหลักไปที่เรื่องของ Attitude มากกว่าปัจจัยอื่นๆ ไอ้ที่จะมาบอกว่า เราเข้ากับคนนั้น โน้น นี้ ไม่ได้ หรือเราเข้ากับใครได้ดี โดยไม่สามารถบอกสาเหตุได้นี่ ต้องบอกว่าเป็นไปได้ยากจริงๆ...รักแรกพบหรือเกลียดเพียงแค่เห็นหน้านี่ ยังไงก็ต้องมีที่มาที่ไปของความรู้สึกนั้นแน่ๆ ... บางครั้งเรารักหรือเกลียดใครก็ตาม เพราะ Character ภายนอก เช่นหน้าตาดี เราก็เอ็นดู แต่ถ้าขี้เต๊ะ เราก็หมั่นไส้...แต่เมื่อรู้จักมักจี่แล้ว เราก็มักจะไม่ค่อยสนใจเรื่อง Character มากมายนัก แล้วก็มีมากครั้งซะด้วย ที่เห็นหน้าแล้วเรารัก แต่พอรู้จักแล้วเราเกลียด หรือเห็นหน้าก็รู้สึกไม่ถูกชะตา แต่ต่อมากลายมาเป็นเพื่อนรัก...ท...

Post#2-294: ฝันที่เป็นจริงยามลืมตา

Post#2-294: ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงอยากจะนอนหลับฝันดีแบบไม่มีวันตื่น... เหตุเพราะบ่อยครั้งความจริงของชีวิตมันก็ช่างโหดร้ายเกินความพอดีไปมากเหลือเกิน หากเมื่อทุกครั้งที่ลืมตาตื่น เรารู้ว่าจะต้องมาเผชิญกับภาวะที่เราไม่อยากเจอ เราคงอยากจะเร่งให้พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เพื่อให้เราได้เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อันแสนสุข และได้กลับเข้าสู่ความฝันอันแสนหวาน แม้ผมจะเห็นด้วย ว่าความฝันมักจะสวยงามกว่าความเป็นจริง...แต่ก็ต้องถามว่า แล้วเราจะมัวจมอยู่แต่ในความฝันกระนั้นหรือ? จะดีกว่ามั๊ย หากเราจะได้เห็นความฝันนั้นเป็นจริงขึ้นตรงหน้า, ไม่อยากรู้บ้างหรือครับ ว่าความฝันยามตื่นนั้นสวยงามเพียงใด?, ไม่อยากสัมผัสบ้างหรือครับ ความฝันที่มีตัวตนให้เราจับต้องได้? ... ทั้งหมดทั้งมวล เริ่มต้นจากความกล้าที่จะเริ่มลงมือทำ ไม่ใช่มัวแต่รำพันพิลาปสงสารตัวเองยามตื่น แล้วก็ไปหลบหลงระเริงอยู่ในความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง เคยถามตัวเองบ้างมั๊ยครับ ว่าถ้ามัวแต่จมอยู่ในความฝันไปเรื่อยๆ...จนวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเหลืออะไรอยู่บ้าง? ไม่ผิดหรอกครับที่จะจมจ่อมอยู่กับความฝันบ้างบางคราว แต่อย่าลืมลุกขึ้นมาส...

Post#2-293: เปลี่ยนใจคนรอบข้าง vs เปลี่ยนตัวคนรอบข้าง

Post#2-293: ความจริงเราต่างก็รู้กันดีอยู่ ว่าการจะเปลี่ยนคนรอบข้างของเรานั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเราก็เคยคุยกันอยู่หลายต่อหลายครั้ง ว่าถ้าเปลี่ยนคนรอบข้างมันยากนัก งั้นเราเริ่มจากเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราก่อนเลยดีกว่า เผื่อว่าคนรอบข้างจะเห็นดีเห็นงาม แล้วก็จะยอมเปลี่ยนตามเราในที่สุด ถ้าใครทำให้คนรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ผมต้องถือว่า เป็นการสร้างบุญอันใหญ่หลวงมากๆ เพราะถือว่าเราอาจได้พลิกชีวิตใครคนหนึ่งให้ดีขึ้นกันเลยทีเดียว แต่บางคราว ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น... หากเราพยายามแล้วพยายามอีก พูดก็แล้ว คุยก็แล้ว ทำให้ดูก็แล้ว ก็ไม่มีวี่แววที่คนรอบข้างจะยอมเปลี่ยนซักที ยังเคยทำกันมาแบบไหน ก็ยังทำกันแบบนั้นอย่างเหนียวแน่น ถามว่า แล้วเราควรทำยังไงดีระหว่าง ยอมโดนกลืนเป็นส่วนหนึ่งของพวกเค้า หรือจะทำตามวาทะเตือนใจต่อไปนี้... "You cannot change the people around you, but you can change the people you choose to be around" แปลว่า "คุณไม่สามารถเปลี่ยนผู้คนรอบๆ คุณได้, แต่คุณสามารถเลือกผู้คนรอบข้างที่คุณจะไปอยู่ด้วยได้" ถ้าเราพยายา...

Post#2-292: เจตนามั๊ยหนอ?

Post#2-292: ใครที่เป็นพุทธศาสนิกชนคงคุ้นเคยดีกับคำว่า "เจตนา" เป็นอย่างดี กรรมนั้นจะหนักหรือเบา เราถือเอาเจตนาเป็นตัวชี้ ถ้าทำโดยเจตนา กรรมนั้นก็หนัก แต่หากเป็นการทำโดยขาดเจตนา กรรมนั้นก็เบาหน่อย หรือแม้กระทั่งว่ากันด้วยตัวบทกฎหมาย ก็มีการดูถึงเจตนาขณะทำการนั้นเป็นสำคัญเช่นกัน ... มีคำสอนหนึ่ง (ที่เข้าใจว่าเป็น พุทธพจน์) ที่บังเอิญผมไปอ่านเจอ ว่าไว้ว่า ทำบุญ...อยากให้คนรู้ ไม่ใช่ "บุญแท้" ทำบาป...กลัวคนรู้ คือ "บาปแท้" ดังนี้ พวกทำบุญเอาหน้าจึงมิได้เนื้อนาบุญไป ตรงข้ามผมเกรงว่าจะกลายเป็นบาปด้วยซ้ำ...เหตุเพราะเจตนาขณะทำบุญเป็นมิจฉา มิได้อยู่บนสัมมาเจตนาอันควร ส่วนพวกมุบมิบหลบๆ ซ่อนๆ ทำบาปนั้น เป็นบาปแท้...เหตุเพราะเจตนานั้นแสดงชัดเจนว่า ลงมือประกอบกรรมชั่วโดยมีความตั้งใจอย่างชัดแจ้ง และเมื่อจงใจอย่างชัดแจ้งแล้ว บาปนั้นจึงเป็นบาปแท้อย่างชัดเจน ดั่งนั้นแล้ว...ทำบุญจึ่งควรคาดหวังเพียงปิติจากการทำบุญ และต้องคอยคุมใจด้วยหิริโอตัปปะ มิให้เจตนามิจฉาเข้าครอบงำได้โดยง่าย ... ในชีวิตจริง เราก็มักต้องเผชิญกับเรื่องที่ต้องพิจารณาว่...

Post#2-291: ก้าวข้ามเรื่องราวในอดีต

Post#2-291: เคยถามตัวเองมั๊ยครับ ว่าจะรู้ได้ยังไง ว่าเราก้าวข้ามเรื่องราวในอดีตได้แล้วรึยัง? ลองคิดตามดูดีมั๊ยครับ ผมให้เวลา 5 นาที ^^ ... สารภาพว่าจริงๆ ผมก็ไม่เคยตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งได้อ่านประโยคนี้ครับ... You're not over it if it still makes you angry! (แปลว่า คุณยังไม่ได้ก้าวข้ามมันไปหรอก หากว่ามันยังคงทำให้คุณโกรธได้อยู่!) จริงสิ เรื่องอะไรก็ตามที่เรานึกถึงแล้วยังทำให้เราโกรธได้อยู่ ก็แปลว่าเรายังก้าวไม่ข้ามมัน เรายังละไม่ได้ วางไม่ลง บางเรื่องแค่นึกถึงก็ทำให้อารมณ์เราขุ่นมัวสุดๆ เรียกว่าเมื่อไหร่ที่นึกถึงเรื่องนี้ มันก็สามารถกระชากรอยยิ้มให้จากเราไปได้ในทันที แต่ถ้าเรื่องเดียวกันนี้ เรานึกถึงแล้วทำให้เศร้าหน่อยๆ ก็น่าจะแปลว่า เราพอจะละวางได้บ้างแล้ว อยู่ในระดับ "ให้อภัยแต่ไม่ลืม" ที่ผมชอบพูดบ่อยๆ อยู่เหมือนกัน เราจะก้าวข้ามเรื่องที่ว่าได้ ก็ต่อเมื่อเรายิ้มเยาะให้กับตัวเองเมื่อเรานึกถึงมัน นั่นแหละครับ... ก็ถ้ามันเป็นเรื่องหนักหนาจริง...ป่านนี้เราคงไม่รอดมานั่งอยู่ถึงวันนี้แน่ๆ...จริงมั๊ยครับ? เคยมั๊ยล่...

Post#2-290: บริหาร 3 สิ่ง แห่งทางโลก + รู้ละรู้วาง แห่งทางธรรม

Post#2-290: เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา มีโอกาสได้คุยสายกับรุ่นพี่คนหนึ่ง สมมติว่าชื่อพี่เอ ก็แล้วกันนะครับ พี่เอค่อนข้างเป็นห่วงที่ผมดูจะบ้างานจนเกินความพอดี จนละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเองไปมาก...มากจนอาจจะทำให้ที่สุดแล้ว อาจจะได้ไม่คุ้มเสียรึเปล่า ว่ากันตามจริง...ช่วงนี้ผมเผชิญกับความท้าทายของงานมากเป็นพิเศษ จากที่เคยทำงานหนักเป็นกิจวัตร ก็กลายเป็นตอนนี้หนักกว่าเดิมมาก มากจนแทบหาเวลาว่างให้กับตัวเองไม่ได้เลย อย่างที่พี่เอตำหนิ แต่จะโทษใครก็ไม่ได้ ในเมื่อผมเลือกที่จะทำหลายๆ project พร้อมๆ กัน และเมื่อเริ่มแล้ว ก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่กับทุกๆ project ที่อยู่ในมือ ... ความจริงผมสนุกมากๆ กับการได้เผชิญกับความท้าทายหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน และยังมีขีดความสามารถในการคิดและสร้างความเป็นได้ทางธุรกิจอื่นๆ อีกมาก หากแต่ผมก็มิอาจฝืนความจริงได้ว่า เวลาในแต่ละวันนั้นก็มีแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้นเอง... หนึ่งในความท้าทายของชีวิตการทำงานก็ซ่อนอยู่ตรงนี้...คือเราจะบริหารคน, บริหารเงิน และบริหารเวลา ยังไงดี ให้เกิดความลงตัวได้มากที่สุด คนที่หาความลงตัวและสอดคล้องของการบริหา...

Post#2-289: องค์ความรู้ในเปลือกลวงตา

Post#2-289: จำได้ว่า ผมเคยแชร์ไว้อยู่หลายครั้ง ว่าการได้คุยกับผู้อาวุโสเป็นเรื่องที่ดี ดีตรงที่เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่ท่านสั่งสมเรียนรู้ถูกผิดมาทั้งชีวิต ผ่านการพูดคุยและถ่ายทอดของท่านได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง สิ่งที่ท่านแชร์หรือถ่ายทอด ล้วนเป็นบทสรุปคัดย่อของประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง และไม่ค่อยจะเจอในตำราหรือบทเรียนใดๆ คราวนี้คำว่า "ผู้อาวุโส" ในความหมายของผมนั้น กินความครอบคลุมไปมากกว่าผู้ที่มีอายุมาก แต่หมายรวมไปถึงผู้ที่มี "พรรษา" ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าเราด้วย ... ผู้มีพรรษามากกว่าเรา อาจจะมีอายุน้อยกว่า, ตำแหน่งด้อยกว่า, ฐานะทางสังคมแย่กว่า หรือแม้กระทั่งฐานะทางการเงินด้อยกว่า... สำคัญแต่ว่าเรามองข้ามปัจจัยลวงเหล่านี้ไปถึงสิ่งที่ผู้มีพรรษาเหล่านั้นมีมากกว่าเรา คือ "องค์ความรู้" ในเรื่องที่เราไม่รู้ได้หรือไม่ หากเรามัวแต่ยึดติดกับปัจจัยลวง เราย่อมสูญเสียโอกาสที่จะเรียนรู้จากผู้มีพรรษาเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย หากผ้าขี้ริ้วห่อทองได้ฉันใด ใบตองก็อาจหุ้มอาหารโอชะไว้ได้ฉ้นนั้น หากดูถูกดูแคลนผู้ที่เราคิดว่าด้อยก...

Post#2-288: วิธีการตั้งคำถาม

Post#2-288: บ่อยครั้งที่เรามักพบเจอกับเหตุการณ์เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังไม่ออก ทั้งกับเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ถ้าจะให้ร้องเป็นเพลง ก็จะประมาณ "กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง..." (ขออภัยที่เพลงอาจจะเก่าไปนิดนึงนะครับ ^^)  แต่จริงรึเปล่านะ ว่าเราเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้? หรือว่าจริงๆ แล้วเราออกข้อสอบชีวิตตัวเองให้เป็นปรนัยที่มี 2 คำตอบ ทั้งที่จริงๆ แล้วชีวิตของเราเป็นข้อสอบอัตนัยที่มีคำตอบแบบเปิดกว้าง เวลาตั้งคำถามให้กับชีวิต บางทีจึงอาจต้องเปลี่ยนวิธีตั้งคำถามบ้าง เพื่อให้เราสามารถประเมินคำตอบของชีวิตได้กว้างขึ้น ไม่ใช่ตั้งคำถามแล้วก็ฝังหัวอยู่แบบนั้น จึงทำให้คำตอบของคำถามที่ว่า มีได้ไม่หลากหลาย ... ยกตัวอย่างเช่น เรามักจะตั้งคำถามว่า ถ้าฝ่าย A ส่งงานแบบนี้ มา เราก็จะมีทางเลือกแค่ วิธีที่ 1 หรือ 2 เท่านั้น ทั้งที่ถ้าเราไปคุยกับฝ่าย A ให้เปลี่ยนวิธีการทำงาน เราอาจจะมีวิธีที่ 3 หรือ 4 เพิ่มขึ้นมาก็เป็นได้ เอาอีกซักตัวอย่าง เช่นว่า คุณผู้หญิงท่านหนึ่งเห็นรอยลิปสติกที่แขนเสื้อ ก็มโนไปแล้วว่า สามีคงไปทำเรื่องไม่ดีไว้ ไม่ข้อหนึ่ง...เที่ยวผ...

Post#2-287: อยู่อย่างร่ำรวย vs อยู่อย่างยากจน

Post#2-287: ค่ำวานนี้ ผมไปร่วมงานเลี้ยงฉลองรับปริญญาและงานวันเกิดของลูกพี่ลูกน้อง ใครใคร่กินก็กินไป ใครใคร่คุยก็คุยกันไป นั่งโต๊ะนู้น ย้ายโต๊ะนี้ ครื้นเครงกันไปมา... เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ที่น่ารักและอบอุ่น มีการร้อง karaoke และเสียงแซวกันไปมาเป็นที่สนุกสนาน แล้วก็มีการถ่ายรูปกับมหาบัณฑิตป้ายแดงกันตามธรรมเนียม ตอนหนึ่งของงานเลี้ยง...คุณน้าแม่ของมหาบัณฑิตที่ว่า ก็เดินมานั่งคุยอยู่กับผม และบทสนทนาตอนหนึ่งที่ท่านแชร์ให้ฟังนั้นน่าสนใจมาก ท่านบอกว่าท่านสอนลูกอยู่เสมอว่า "อยู่อย่างคนรวยไม่มีทางรวย และอยู่อย่างคนจนไม่มีทางจน" ฟังแล้วสะดุ้งนิดๆ เหมือนผมมั๊ยครับ? ... สภาพสังคมทุกวันนี้ มักให้ความสำคัญกับเปลือกนอกมากกว่าแก่นแท้ ดังนั้น เราอาจจะต้องหันมาพิจารณาให้ชัดเจนว่า ทุกวันนี้เราใช้เงินฟุ้งเฟ้อเพื่อรักษาสถานภาพทางสังคม มากกว่าจะหันมาดูเงินในกระเป๋าหรือไม่ ถ้าคุณมีเงินเดือนหลักหมื่นต้นๆ แต่ติดหรูต้องกาแฟ Starbucks, ช้อปปิ้ง Paragon, ต้องอยู่คอนโดฯ และต้องมีรถขับ...ก็ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมปลายเดือนคุณจึงต้องพึ่งพามาม่าเป็นสรณะ...เพราะคุณใช้ชีวิตแบบคนรวย คุณจึงย...

Post#2-286: อยากเปลี่ยนแปลงแต่ไม่เปลี่ยนแปลง

Post#2-286: หลายๆ ครั้ง เวลาที่เราเจอเหตุการณ์อะไรแย่ๆ หรือเมื่อมาถึงวันหรือวาระสำคัญ เรามักจะชอบตั้งปณิธานใหม่ๆ เช่น วันนี้โดนนายด่าเพราะมาสายบ่อย ก็จะตั้งปณิธานว่า ต่อไปนี้จะไม่มาสายแล้ว หรือไม่ก็ปีใหม่แล้ว ก็ตั้งปณิธานว่าจะทำนั่น นู่น นี่ เป็นต้น แต่ที่สุดแล้ว ปณิธานที่ตั้งไว้ก็มักจะไม่บรรลุผล...เคยสงสัยตัวเองมั๊ยครับ ว่าแล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้? ไม่ได้ชวนให้คิดมาหลาย post แล้ว ลองหาคำตอบกันดูมั๊ยครับ ว่าทำไม? .... สำหรับผม ผมคิดว่าที่ปณิธานต่างๆ ไม่ค่อยจะบรรลุผลนั้น ก็เพราะ...คนเราคาดหวังการเปลี่ยนแปลงโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง นั่นเองครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปณิธานหรือเป้าหมายหรือความคาดหวัง ส่วนใหญ่มักจะเก่งในการตั้ง แต่ไม่ยักจะใส่ใจที่จะลงมือทำ หรือลงมือทำแต่ก็ทำอะไรแบบเดิมๆ ก็อย่างที่ผมเคยแชร์ไว้ใน Post#2-274 ว่า ถ้าทำเหมือนๆ เดิม ก็แน่นอนว่าผลลัพธ์ก็จะคล้ายๆ เดิม ก็แปลว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย และเมื่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แล้วทำไมถึงจะคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้ล่ะ? เช่น ตั้งปณิธานว่า พรุ่งนี้จะไม่ไปทำงานสาย แต่ยังนอนดึกๆ เหมือนเด...

Post#2-285: ทางแยกของชีวิตการทำงาน

Post#2-285: ในช่วงชีวิตของคนเรา จะมีบ่อยครั้งเหลือเกินที่ต้องเดินทางมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจว่าจะไปทางซ้ายดีหรือทางขวาดี แน่นอนว่า เมื่อมาถึงทางแยกที่มองไม่เห็นปลายทางข้างหน้า เราคงต้องเกิดอาการลังเลอยู่พักใหญ่ๆ จนหลายคนอยากจะมีกล้องส่องอนาคตซะด้วยซ้ำ ผมหวังว่า คงไม่มีใครจะมาเสี่ยงกับการตัดสินใจครั้งสำคัญแบบนี้ ด้วยการโยนหัวโยนก้อยแน่ๆ แต่จะใช้เกณฑ์อะไรล่ะในการตัดสินใจ? จะมองไปข้างหน้าทั้งแยกซ้ายและขวาก็ไม่รู้ปลายทาง, จะมองเส้นทางที่เดินผ่านมาก็ไม่สามารถชี้ได้เลยว่า จะต้องเลือกเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา หรือตรงไปอย่างเดิม? แต่ละคนมีแนวคิดและแนวทางต่างๆ กัน ผมเองก็ตอบไม่ได้ครับ ว่าทางไหนดีกว่าทางไหน เอาเป็นว่า ผมขอแชร์มุมมองของตัวเองเฉพาะในการเลือกอนาคตว่าจะทำงานที่เดิมหรือเปลี่ยนงานใหม่ก็แล้วกันนะครับ...ออกตัวก่อนนะครับว่า ที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้ จะเป็นเพียงกรอบกว้างๆ ที่ผมมักจะใช้แนะนำน้องๆ ที่มาถามเท่านั้น ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จแต่อย่างใด ... เมื่อใดก็ตามที่จะเปลี่ยนงาน จงเทียบงานใหม่กับงานเก่า ว่า... 1.งานไหนมี Job Description ที่ส่งเสริมให้เราได้แสดงความสามารถได้มากกว่ากั...

Post#2-284: มีปากไว้พ่นไฟ

Post#2-284: โดยส่วนตัวแล้ว สมัยยังหนุ่มๆ ผมเป็นคนใจร้อนและโมโหร้าย เรียกว่าเมื่อไหร่โทสะเข้าครอบงำ เป็นอันกลายร่างเป็นเจ้ายักษ์ตัวเขียวไปซะทุกที ต่อเมื่ออายุมากขึ้น แม้จะยังใจร้อนเหมือนเดิม แต่ก็สามารถที่จะควบคุมความโมโหของตัวเองได้ดีขึ้น ลองถามๆ เพื่อนๆ วัยเดียวกันดู ก็พบว่าแต่ละคนก็คล้ายๆ กัน... ใน Post#91 ผมก็เคยแชร์ไว้ ว่าหลังการระเบิดอารมณ์ออกมานั้น ที่สุดแล้วก็ทิ้งไว้เพียงเศษซากแห่งความเสียหาย ไม่ข้าวของก็อารมณ์ ที่สุดแล้ว "คำพูดแย่ๆ" ที่ปล่อยออกไป ก็ไม่ต่างจากลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันศร...คือเมื่อปล่อยออกไปแล้ว เราก็ไม่สามารถจะเรียกกลับคืนมาได้ ทุกวันนี้ผมก็พยายามอย่างยิ่ง ในการคุมไม่ให้ปากไวกว่าสติ เพราะเวลาปล่อยคำพูดแย่ๆ ไปหาใคร เค้าจะได้ยินคำพูดนั้นทันที ต่างจากการปล่อยลูกธนูออกจากคันศร เพราะถ้าเป้าหมายรู้ตัว ก็ยังอาจหลบพ้นลูกธนูได้ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว คำพูดที่แย่ๆ จึงเปรียบเสมือนอาวุธร้ายแรงที่ต้องระวังในยามใช้งาน เพราะไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายกับคนที่เราปล่อยคำพูดใส่ แต่ส่วนหนึ่งของความเสียหายนั้น ก็อาจสะท้อนกลับมาเราด้วยเช่นกัน ...

Post#2-283: วิธีคิดจากสมการ

Post#2-283: วันนี้เป็นอีกวันที่ผมใช้เวลาอยู่ในห้องประชุมเพื่อประชุมบอร์ดบริษัท ผมและหุ้นส่วนถกกันอย่างหนักถึงการกำหนดทิศทางของบริษัท ว่าครึ่งหลังของปีจะเดินกันต่อยังไง จะรับมือกับภาวะแบบนี้ยังไงบ้าง ในมุมมองของผม นี่เป็นหนึ่งในข้อดีในการทำงานกับชาวต่างชาติ ดีตรงที่ทุกอย่างชัด ติดอะไรยังไงเอามาคุยกัน แล้วก็สรุปร่วมกัน ออกมาเป็นมติบอร์ด ที่ผมต้องรับไปดำเนินการต่อ ทุกๆ เดือนผมและทีมก็ต้องโดนตรวจสอบว่า ทำงานได้ตามเป้าหมายมั๊ย ปัญหาอยู่ตรงไหน จะแก้ยังไง นี่เป็นสิ่งที่บริษัทคนไทยก็น่าเอาเป็นแบบอย่างอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่อะไรก็ได้ และก็ไม่ใช่จะทำแผนเสนอให้ผ่านๆ ไป พอไม่บรรลุผลลัพธ์ก็หาเหตุผลมาตอบ ... ฝรั่งให้ความสำคัญกับ plan และ commitment อย่างมากจนอยู่ในสายเลือด มากจนทำให้เค้าคิดและทำทุกอย่างแบบเป็นระบบ ไม่ชอบอะไรแบบ short cut และทำอะไรแบบข้ามขั้นตอนไม่ค่อยจะเป็นซะด้วย ลองดูตัวอย่างของการคิดเป็นระบบแบบเด็กฝรั่งกับการคิดแบบทางลัดแบบไทยๆ ดูเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ เอาเรื่องสมการก็ได้... เด็กฝรั่งทำไม่เป็นนะครับ ไอ้การย้ายข้างสมการ เปลี่ยนจากบวกเป็นลบ จากคูณเป็นหารอ...

Post#2-282: ถูกชุบมือเปิบ

Post#2-282: ผมเชื่อว่า หลายๆ คนคงจะเจอเหตุการณ์ถูก "ชุบมือเปิบ" กันมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยมากก็คงจะเจอคนที่ชอบชุบมือเปิบเหล่านี้ในชีวิตการทำงาน เช่นบางครั้งเราลำบากเตรียมงานแทบตาย แล้วก็มีใครสักคนนึงชิงนำแผนการเตรียมงานทั้งหมดไปเสนอนาย แล้วก็เลยได้หน้าไปเต็มๆ กลายเป็นผู้ได้ผลงาน ส่วนเราที่เป็นคนเหนื่อยก็เลยกลายเป็น "ไอ้หน้าโง่" ไปซะอย่างนั้น แม้ผมจะส่งเสริมผู้อื่นและพยายามบอกตัวเองอยู่เสมอ ว่าต้องมองโลกในแง่ดี แต่ก็ต้องเตือนให้ทราบด้วยว่า คงต้องระวังไว้เช่นกัน ว่าเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้ ... หนึ่งในจริยธรรมในการทำงานที่เราควรจะต้องมีก็คือ การไม่แย่งผลงานของคนอื่น ซึ่งคนที่ทำแบบตรงข้ามได้โดยไม่รู้สึกอะไร ขอเพียงเค้าได้ประโยชน์ใครจะเสียประโยชน์ก็ช่างนั้น มีไม่น้อยเลย ที่น่ากลัวก็คือ คนพวกนี้แฝงอยู่ได้ในทุกตำแหน่งและทุกขนาดขององค์กร อยู่ได้ในตัวของเจ้านายไร้คุณธรรม ไปจนถึงเด็กใหม่ที่เร่งสร้างผลงาน พวกนี้อาศัยอยู่ในมุมมืด จึงทำให้เราไม่ทันระวัง เผลอแพล่บเดียว พวกนี้ก็กระโจนออกมาแย่งผลงานที่เราเหนื่อยยากสร้างมาไปเรียบร้อยแล้ว ผมไม่ได้อยากให้เราระแวงน...