Post#2-277:
ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ต้อนรับแขกจากต่างประเทศ
และก็ทำให้ผมเจ็บใจตัวเองมากๆ ที่มีเชื้อสายจีนในตัวซะเปล่า แต่ดันไม่กระดิกหูภาษาจีนเลยแม้แต่น้อย
สมัยผมยังเล็กๆ อากง (คุณปู่) ก็ทั้งเคี่ยวเข็ญทั้งผลักดัน แต่ผมก็เอาแต่หนีอยู่ร่ำไป ทำให้ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาจีนได้เลย ในขณะที่น้องชายผมเอาถ่านกว่าเยอะ สื่อสารภาษาจีนคล่องแคล่วในระดับเอาตัวรอดได้
ระหว่างประชุมผมได้แต่นั่งทำตาปริบๆ และต้องคอยความเมตตาจากผู้รู้ภาษาให้หันมาแปลให้เป็นระยะ ผมอยากจะพูดอยากจะแสดงความเห็นอะไรก็ไม่สามารถทำได้เอง ต้องผ่านการแปลอีกที
ใครที่มีลูกเล็กๆ จึงน่าผลักดันให้ฝึกหัดด้านภาษาครับ แค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวรับรองว่าไม่เพียงพอที่จะแข่งขันในอนาคตแน่ๆ
เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แสดงทรรศนะให้ผมฟังว่า "ถ้าอยากจะให้ลูกๆ แข่งขันได้ในอนาคต ต้องรู้อย่างน้อย 4 ภาษา...คือหนึ่งภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน, ภาษาคอมพิวเตอร์ และสุดท้ายคือภาษาธุรกิจ"
ผมถามท่านต่อว่า ทำไม? ท่านก็กรุณาอธิบายเพิ่มเติมว่า "ถ้ารู้ภาษาอังกฤษกับภาษาจีน เราจะสามารถสื่อสารกับคนได้เกือบทั้งโลก ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เราได้เปรียบคนอื่นๆ ส่วนการที่จำเป็นต้องรู้ภาษาคอมพิวเตอร์นั้นหมายถึงต้องก้าวให้ทันเทคโนโลยีที่นับวันจะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในการสื่อสาร และสุดท้ายต้องสามารถใช้ภาษาธุรกิจให้เก่ง หมายความว่า ต้องมี sense ในการค้าขายและเจรจา"
ฟังท่านแล้ว ผมมีแต่ยอมรับโดยดุษฎีครับ ว่าถ้าเราฝึก 4 ภาษานี้ไว้ติดตัว ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลแล้ว...
ใครที่กำลังบ่นว่า ทำไมพ่อแม่ต้องเคี่ยวเข็ญให้เรียนภาษานั่น นู่น นี่ ก็หวังว่าจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ว่าแท้จริงแล้ว ท่านกำลังติดอาวุธให้เราต่างหาก
คืนนี้ผมคงจะเข้าห้องพระ เพื่อสวดมนตร์และส่งจิตคารวะไปถึงอากงบนสวรรค์ล่ะครับ...ถ้าเล็กๆ ไม่เขลาเบาปัญญา เอาแต่หนีท่าน ป่านนี้ผมคงทำธุรกิจได้ดีกว่านี้เป็นหลายร้อยเท่าแน่ๆ
แต่ยังไงก็ตาม ผมก็ยังคงมั่นใจว่า วันนี้ก็ยังไม่สายไปสำหรับผมและทุกท่านที่จะเริ่มเรียน 4 ภาษาที่ว่า (หรือเรียนให้มากกว่านี้ก็ได้) เพิ่มเติมครับ ^^
Comments
Post a Comment