Skip to main content

Post#2-283: วิธีคิดจากสมการ

Post#2-283:
วันนี้เป็นอีกวันที่ผมใช้เวลาอยู่ในห้องประชุมเพื่อประชุมบอร์ดบริษัท

ผมและหุ้นส่วนถกกันอย่างหนักถึงการกำหนดทิศทางของบริษัท ว่าครึ่งหลังของปีจะเดินกันต่อยังไง จะรับมือกับภาวะแบบนี้ยังไงบ้าง

ในมุมมองของผม นี่เป็นหนึ่งในข้อดีในการทำงานกับชาวต่างชาติ ดีตรงที่ทุกอย่างชัด ติดอะไรยังไงเอามาคุยกัน แล้วก็สรุปร่วมกัน ออกมาเป็นมติบอร์ด ที่ผมต้องรับไปดำเนินการต่อ

ทุกๆ เดือนผมและทีมก็ต้องโดนตรวจสอบว่า ทำงานได้ตามเป้าหมายมั๊ย ปัญหาอยู่ตรงไหน จะแก้ยังไง

นี่เป็นสิ่งที่บริษัทคนไทยก็น่าเอาเป็นแบบอย่างอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่อะไรก็ได้ และก็ไม่ใช่จะทำแผนเสนอให้ผ่านๆ ไป พอไม่บรรลุผลลัพธ์ก็หาเหตุผลมาตอบ

...

ฝรั่งให้ความสำคัญกับ plan และ commitment อย่างมากจนอยู่ในสายเลือด มากจนทำให้เค้าคิดและทำทุกอย่างแบบเป็นระบบ ไม่ชอบอะไรแบบ short cut และทำอะไรแบบข้ามขั้นตอนไม่ค่อยจะเป็นซะด้วย

ลองดูตัวอย่างของการคิดเป็นระบบแบบเด็กฝรั่งกับการคิดแบบทางลัดแบบไทยๆ ดูเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ เอาเรื่องสมการก็ได้...

เด็กฝรั่งทำไม่เป็นนะครับ ไอ้การย้ายข้างสมการ เปลี่ยนจากบวกเป็นลบ จากคูณเป็นหารอะไรแบบนี้ เค้าจะทำเป็นขั้นตอน บวกทั้งสองข้าง หารทั้งสองข้าง ทำเป็นขั้นๆ แบบเป๊ะๆ

เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นตามขั้นตอน ก็ทำให้สอบทานที่มาที่ไปได้ง่าย ต่างจากการทำแบบรวบรัด ซึ่งสุดท้ายจะกลายเป็นภาพจำหรือการท่องจำที่หาที่มาที่ไปไม่ได้

ลองไปถามเด็กไทยดูก็ได้ครับ ว่าทำไมต้องย้ายจากบวกไปเป็นลบ...ค่อนข้างแน่ว่าจะได้ยินคำตอบคลาสสิค ประมาณว่า "เค้าบอกให้ทำแบบนี้"

แต่ถ้าไปถามเด็กฝรั่ง ว่าทำไมต้องบวกทั้งสองข้างล่ะ ก็จะได้คำตอบประมาณว่า "equation แปลว่าหลักแห่งการเท่ากัน ดังนั้นจึงต้องบวกทั้งสองข้างไงล่ะ" ว่าแล้วก็จะอธิบายตรรกะและเหตุผลตามมาอีกยืดยาว

ดังนั้น ผมจึงอยากเชียร์ให้คิดให้เป็นระบบ ทำให้มีขั้นตอน สอนงานให้มีหลักเกณฑ์ จึงจะทำให้งานดำเนินไปได้อย่างมีปัญหาน้อยลงครับ

อ้อ! แล้วที่ยกตัวอย่างแบบนี้ ก็ไม่ได้จะบอกว่าทำงานกับฝรั่งมีแต่เรื่องดีเลิศไปซะทั้งหมดหรอกนะครับ...เอาเป็นว่าเราหยิบยกเรื่องดีๆ มาเป็นเยี่ยง และไม่เอาเรื่องไม่ดีมาเป็นอย่างก็พอ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...