Post#2-284:
โดยส่วนตัวแล้ว สมัยยังหนุ่มๆ ผมเป็นคนใจร้อนและโมโหร้าย เรียกว่าเมื่อไหร่โทสะเข้าครอบงำ เป็นอันกลายร่างเป็นเจ้ายักษ์ตัวเขียวไปซะทุกที
ต่อเมื่ออายุมากขึ้น แม้จะยังใจร้อนเหมือนเดิม แต่ก็สามารถที่จะควบคุมความโมโหของตัวเองได้ดีขึ้น
ลองถามๆ เพื่อนๆ วัยเดียวกันดู ก็พบว่าแต่ละคนก็คล้ายๆ กัน...
ใน Post#91 ผมก็เคยแชร์ไว้ ว่าหลังการระเบิดอารมณ์ออกมานั้น ที่สุดแล้วก็ทิ้งไว้เพียงเศษซากแห่งความเสียหาย ไม่ข้าวของก็อารมณ์
ที่สุดแล้ว "คำพูดแย่ๆ" ที่ปล่อยออกไป ก็ไม่ต่างจากลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันศร...คือเมื่อปล่อยออกไปแล้ว เราก็ไม่สามารถจะเรียกกลับคืนมาได้
ทุกวันนี้ผมก็พยายามอย่างยิ่ง ในการคุมไม่ให้ปากไวกว่าสติ เพราะเวลาปล่อยคำพูดแย่ๆ ไปหาใคร เค้าจะได้ยินคำพูดนั้นทันที ต่างจากการปล่อยลูกธนูออกจากคันศร เพราะถ้าเป้าหมายรู้ตัว ก็ยังอาจหลบพ้นลูกธนูได้
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว คำพูดที่แย่ๆ จึงเปรียบเสมือนอาวุธร้ายแรงที่ต้องระวังในยามใช้งาน เพราะไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายกับคนที่เราปล่อยคำพูดใส่ แต่ส่วนหนึ่งของความเสียหายนั้น ก็อาจสะท้อนกลับมาเราด้วยเช่นกัน
แก้วที่แตกจะมาซ่อมให้ดียังไง ก็ยังมีรอยร้าวให้เห็น เช่นกันกับใจที่โดนกรีดด้วยคำพูด จะเยียวยาให้ดีเสมือนไม่เคยโดนกรีดก็คงจะยาก
ขนาดบางครั้งเราไม่ทันคิด พลั้งปากพูดบางอย่างไปโดยไม่ตั้งใจ คนฟังยังเจ็บปวดจะแย่ จึงไม่ต้องคิดเลยว่า เวลาเราตั้งใจระเบิดอารมณ์ใส่เค้าน่ะ จะทำให้เค้าเจ็บปวดถึงเพียงไหน
ท่านมหากวีสุนทรภู่ก็เคยแต่งกลอนสอนไว้หนักหนาเกี่ยวกับเรื่องการพูดนี้
"ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา"
และอีกบทหนึ่งว่า
"เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ"
ถือซะว่าวันนี้ผมมา Post ลอยๆ ละกันนะครับ...
Comments
Post a Comment