Post#2-292:
ใครที่เป็นพุทธศาสนิกชนคงคุ้นเคยดีกับคำว่า "เจตนา" เป็นอย่างดี
กรรมนั้นจะหนักหรือเบา เราถือเอาเจตนาเป็นตัวชี้ ถ้าทำโดยเจตนา กรรมนั้นก็หนัก แต่หากเป็นการทำโดยขาดเจตนา กรรมนั้นก็เบาหน่อย
หรือแม้กระทั่งว่ากันด้วยตัวบทกฎหมาย ก็มีการดูถึงเจตนาขณะทำการนั้นเป็นสำคัญเช่นกัน
...
มีคำสอนหนึ่ง (ที่เข้าใจว่าเป็น พุทธพจน์) ที่บังเอิญผมไปอ่านเจอ ว่าไว้ว่า ทำบุญ...อยากให้คนรู้ ไม่ใช่ "บุญแท้" ทำบาป...กลัวคนรู้ คือ "บาปแท้"
ดังนี้ พวกทำบุญเอาหน้าจึงมิได้เนื้อนาบุญไป ตรงข้ามผมเกรงว่าจะกลายเป็นบาปด้วยซ้ำ...เหตุเพราะเจตนาขณะทำบุญเป็นมิจฉา มิได้อยู่บนสัมมาเจตนาอันควร
ส่วนพวกมุบมิบหลบๆ ซ่อนๆ ทำบาปนั้น เป็นบาปแท้...เหตุเพราะเจตนานั้นแสดงชัดเจนว่า ลงมือประกอบกรรมชั่วโดยมีความตั้งใจอย่างชัดแจ้ง และเมื่อจงใจอย่างชัดแจ้งแล้ว บาปนั้นจึงเป็นบาปแท้อย่างชัดเจน
ดั่งนั้นแล้ว...ทำบุญจึ่งควรคาดหวังเพียงปิติจากการทำบุญ และต้องคอยคุมใจด้วยหิริโอตัปปะ มิให้เจตนามิจฉาเข้าครอบงำได้โดยง่าย
...
ในชีวิตจริง เราก็มักต้องเผชิญกับเรื่องที่ต้องพิจารณาว่า การกระทำใดเป็นไปอย่างเจตนารึเปล่า แทบไม่เว้นแต่ละวัน
เช่น ลูกน้องทำงานผิดพลาด เราเองก็ต้องดูให้แน่ว่า ความผิดพลาดนั้น เกิดจากความจงใจ ความเลินเล่อ หรือความประมาท...จากนั้น จึงค่อยพิจารณาโทษตามหนักเบาของเหตุแห่งความผิดพลาดนั้น
อ้อ! ส่วนพวกที่ชอบออกมาพูดว่า "ขอโทษครับ/ค่ะ ผม/หนู ทำลงไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์" น่ะ...ลองพิจารณาดูให้แน่ครับ ว่าจริงๆ แล้วรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือทำไปเพราะความคึกคะนองไม่เข้าท่ากันแน่
ฟังคำแก้ตัวชุ่ยๆ แบบนี้ทีไร เพลียใจทุกทีครับ -"-
Comments
Post a Comment