Skip to main content

Post#2-267: ลาออกเมื่อไหร่ดี?

Post#2-267:
เมื่อหัวค่ำนี้มีโอกาสได้ทานข้าวกับน้องๆ กลุ่มนึงที่เคยทำงานอยู่ด้วยกัน เป็นการพบปะกันนานทีปีหนหลังจากไม่ได้เจอกันมานานพอดู

ตอนหนึ่งของการเม้าส์ มีน้องคนนึงถามผมว่า "เมื่อไหร่ที่เราควรจะลาออกจากงานดี?"

หลังจากที่ผมไม่ได้ถามมานาน...ลองนึกตามดูมั๊ยครับ ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง? ให้เวลา 5 นาทีพอมั๊ยครับ?

...

ผมตอบน้องเค้าไปว่า ถ้าเป็นผม ผมมีเหตุผล 2 ข้อที่จะทำให้เริ่มมองหาอนาคตใหม่ของงาน ถ้ามีข้อใดข้อหนึ่งก็มากพอที่ผมจะต้องตั้งคำถามให้ตัวเองแล้ว

ข้อหนึ่ง...ถามตัวเองว่า เสียงของเราไปถึงนายหรือไม่ ในที่นี้หมายความถึง นายรับฟังความเห็นของเรามากน้อยเพียงใด ถ้าเราเสนออะไรไปแล้วไม่เคยมี feedback ในทางสร้างสรรค์กลับมาเลย ผมก็จะรู้สึกว่า เราอยู่ที่นี่ได้ยากแล้ว

ข้อสอง...ถามตัวเองว่า งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้มั๊ย ถ้าแต่ละวันๆ ที่ผ่านไป ทำให้เรารู้สึกว่า เราทำงานแล้วฉลาดน้อยลงทุกวันๆ ผมก็ไม่แน่ใจว่า เราจะทนทำงานแบบนั้นไปเพื่ออะไร?

...

เมื่อทำงานมาถึงจุดหนึ่ง เราจะพบว่า เรื่องเงินกับเรื่องความสุขในการทำงานเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน...

ได้เงินเดือนมาก แต่เหมือนต้องไปตกนรกทุกวัน คงไม่สู้ได้เงินน้อยลงนิด แต่ได้ทำงานที่เราทำแล้วมีความทุกข์น้อยหน่อย

ทำงานเพื่อเงินกับทำงานแล้วได้เงิน...นั้นให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันแบบคนละขั้ว

แบบแรก หมายถึงทำงานอะไรก็ได้ ขอให้ได้เงินเป็นพอ ส่วนแบบหลัง หมายถึงขอให้ได้ทำงานที่ชอบ และได้เงินเป็นค่าตอบแทน

แบบแรก หมายถึงมองเงินก่อนมองงาน ส่วนแบบหลัง หมายถึงมองงานก่อนมองเงิน

แบบแรก มองไปที่ชัยชนะระยะสั้น ส่วนแบบหลัง มุ่งหวังไปที่ชัยชนะแบบยั่งยืน

วันนี้ตัวเรานั้นเป็นแบบไหน...ต้องลองถามตัวเองและตอบตัวเองอย่างซื่อสัตย์ที่สุดนะครับ...แต่ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า...

อนาคตที่ดีมาจากปัจจุบันที่ถูกต้อง และแน่นอนว่าเราเองนั่นแหละคือผู้กำหนดอนาคตที่ว่า...ไม่ใช่ใครอื่น

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...