Skip to main content

Post#2-282: ถูกชุบมือเปิบ

Post#2-282:
ผมเชื่อว่า หลายๆ คนคงจะเจอเหตุการณ์ถูก "ชุบมือเปิบ" กันมาบ้างไม่มากก็น้อย

โดยมากก็คงจะเจอคนที่ชอบชุบมือเปิบเหล่านี้ในชีวิตการทำงาน เช่นบางครั้งเราลำบากเตรียมงานแทบตาย แล้วก็มีใครสักคนนึงชิงนำแผนการเตรียมงานทั้งหมดไปเสนอนาย แล้วก็เลยได้หน้าไปเต็มๆ กลายเป็นผู้ได้ผลงาน ส่วนเราที่เป็นคนเหนื่อยก็เลยกลายเป็น "ไอ้หน้าโง่" ไปซะอย่างนั้น

แม้ผมจะส่งเสริมผู้อื่นและพยายามบอกตัวเองอยู่เสมอ ว่าต้องมองโลกในแง่ดี แต่ก็ต้องเตือนให้ทราบด้วยว่า คงต้องระวังไว้เช่นกัน ว่าเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้

...

หนึ่งในจริยธรรมในการทำงานที่เราควรจะต้องมีก็คือ การไม่แย่งผลงานของคนอื่น ซึ่งคนที่ทำแบบตรงข้ามได้โดยไม่รู้สึกอะไร ขอเพียงเค้าได้ประโยชน์ใครจะเสียประโยชน์ก็ช่างนั้น มีไม่น้อยเลย

ที่น่ากลัวก็คือ คนพวกนี้แฝงอยู่ได้ในทุกตำแหน่งและทุกขนาดขององค์กร อยู่ได้ในตัวของเจ้านายไร้คุณธรรม ไปจนถึงเด็กใหม่ที่เร่งสร้างผลงาน

พวกนี้อาศัยอยู่ในมุมมืด จึงทำให้เราไม่ทันระวัง เผลอแพล่บเดียว พวกนี้ก็กระโจนออกมาแย่งผลงานที่เราเหนื่อยยากสร้างมาไปเรียบร้อยแล้ว

ผมไม่ได้อยากให้เราระแวงนายหรือคนรอบข้างหรอกนะครับ แค่อยากเตือนให้เอ๊ะไว้บ้างเท่านั้นเอง เพราะการที่ต้องถูกขโมยผลงานไปต่อหน้าต่อตานี่ มันก็เป็นอะไรที่น่าเจ็บใจเอาการอยู่เหมือนกัน

บางคนไม่ได้โดนแย่งผลงาน แต่โดนคนพวกนี้เอาชื่อเสียงไปแอบอ้างเพื่อหาประโยชน์เข้าตัวก็มาก ซึ่งก็พบได้ในทุกวงการตั้งแต่วงการมายาไปยันวงการสงฆ์เลยทีเดียว

บางคนก็ถูกหลอกใช้ให้ทำงานฟรีๆ โดยคนพวกนี้ก็จะมาล่อหลอกว่า งานเสร็จจะนำไปเสนอแล้วแบ่งผลประโยชน์กัน แต่พอได้เงินก็หายเข้ากลีบเมฆ ที่แย่หนักทิ้งภาระไว้ให้ก็มี

ถ้าใครโดนแบบนี้ ก็อโหสิให้เค้าไปเถอะครับ คิดซะว่าชาติก่อนเป็นหนี้พวกเค้าไว้ คราวหน้าคราวหลังก็ระมัดระวังหน่อย อย่าปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อเค้าอยู่ร่ำไป

อะไรนะครับ? ถามว่าถ้าเป็นผมโดนแบบนี้บ้าง จะทำไง?

ครั้งแรกผมก็อโหสิครับ แต่ก่อนอโหสิผมก็คุยกับเค้าตรงๆ เลย ว่าทำแบบนี้ทำไม พร้อมกับบอกเค้าอย่างอโหสิ (แล้ว) ว่า...

"ทีเอ็งข้าไม่ว่า...แต่ทีข้าเอ็งอย่าโวย" นะ

#ตกลงแบบนี้ก็ไม่อโหสิสินะ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...