Skip to main content

Posts

Showing posts from January, 2017

Post#4-147: ฉันไม่ผิด...เธอต่างหากที่ไม่ชัดเจน

Post#4-147: เรื่องมีอยู่ว่า ตารางนัดหมายในแต่ละวันของผมนั้น แน่นจนแทบหาช่องว่างไม่ค่อยจะได้...ส่งผลให้ผู้คนรอบข้าง, โดยเฉพาะทีมงาน, ต้องตามจองเวลาให้เป็นมั่นเป็นเหมาะ บางครั้งถามเวลาผมห่างกันแค่ครึ่งวันเท่านั้น...ที่ว่าว่างก็อาจกลายเป็นไม่ว่างไปเสียแล้ว ... "เวลา" จึงเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ...ทำให้ ผมเกลียดการมาสาย, ส่งงานสาย และการรอคอยแบบไม่จำเป็น หลายๆ คน ก็คงจะเป็นอย่างผม...ก็คือ ถ้าเราเป็นฝ่ายทำให้เกิดการผิดเวลานัดหมาย, ผิดเวลาส่งงาน หรือทำให้ผู้อื่นต้องเสียเวลารอโดยไม่จำเป็นนี่... เราทำใจไม่ค่อยจะได้เอาเลยจริงๆ ... เช้านี้ เหตุการณ์ที่ผมเกลียดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง...คือลูกน้องคนหนึ่ง line ขอเวลา มาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน เพื่อจะนัดให้คู่ค้าเข้ามาสวัสดีปีใหม่ ด้วยความที่ตารางนัดในสัปดาห์นี้มันไม่นิ่ง ผมจึงไม่ได้ตอบรับไป ผมมารู้ก็ตอนที่เธอ line มาถามประมาณว่า "พี่จะเข้ากี่โมงคะ วันนี้นัดคู่ค้าไว้" ทันทีนั้น ผมก็โทรกลับไปถามเธอว่า ผมไม่เคยตอบยืนยัน ทำไมถึงนัดคู่ค้ามา? เธอตอบผมว่า "อ้าว ก็เห็นพี่ไม่ตอบ หนูก็นึกว่า ok" เป็นไ...

Post#4-146: เด็กฝาก

Post#4-146: บ่ายวันนี้ ลูกน้องมือขวาของผมโทรมาขออนุญาตรับ "เด็กฝาก" คนหนึ่ง เข้าทำงาน...นัยว่า มีผู้ใหญ่ฝากมา และเค้าพิจารณาแล้ว ว่าน่าจะช่วยงานได้ เอาจริงๆ ผมไม่เคยรังเกียจเด็กฝากเลย...เพราะไม่ว่า "แมว" จะสีอะไร ถ้าจับ "หนู" ได้ ผมก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น ว่ากันให้ชัดๆ ก็คือ การรับลูกหลานหรือญาติของคนกันเองเข้ามาทำงานน่ะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน...แล้วถ้าไม่ช่วยเหลือคนกันเอง ผมก็ไม่รู้ว่าเราจะมี "พรรคพวก" ไว้ทำไม ... แต่กติกาที่ผมวางไว้เลยก็คือ "เด็กฝาก" ก็ไม่อาจมีสิทธิ์เหนือกว่าคนที่สมัครมาทำงานแบบปกติ ไปได้ ตรงกันข้าม...ผมมักจะกวดขัน "เด็กฝาก" ให้ประพฤติตัวให้ดีเป็นพิเศษ เพราะพวกเค้าแบก "หน้า" ของ "คนฝากงาน" เอาไว้ ทำงานไม่เก่ง...ไม่เป็นประเด็นครับ เพราะเรื่องแบบนี้ สอนกันได้ แต่ถ้าทำตัวไม่ดี เพราะถือว่า "เส้นใหญ่" นี่...แบบนี้ อาจต้องคุยกันยาวๆ ... ผมเชื่อว่า การที่ "ผู้ใหญ่" เลือกฝากใครมาทำงานกับเรา หมายความว่า ท่านไว้ใจให้เรากวดขันเด็กของท่านให้ได้ดี คงไม่ใช่ต...

Post#4-145: ยิ้มสยาม...ที่จางไป

Post#4-145: ผมพึ่งกลับจากการไปทำงานที่กรุงย่างกุ้ง อันเป็นเสมือนบ้านที่สองของผม เมื่อครู่นี้เองครับ ไปคราวนี้ พิเศษหน่อยตรงที่ผมมีโอกาสได้ไปออก Event ร่วมกับทีมงาน ใน Shopping Mall แห่งหนึ่ง ความสนุกของผมอยู่ที่การเฝ้ามองทีมงานที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า...และไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ดูเหมือนทั้งคนซื้อและคนขาย จะยังติด "ขี้อาย" อยู่ไม่น้อย ... เท่าที่คลุกคลีกับชาวเมียนมาร์มากว่า 5-6 ปี มานี้...ผมก็ยังคงรู้สึกว่า พวกเค้าเหมือนคนไทยเมื่อสัก 30 ปีก่อน มีความเป็นมิตร, ยิ้มง่าย และติดจะขี้อาย...โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติ พวกเค้าจะยิ่งเขินเป็นพิเศษ แรกๆ ผมก็คิดว่า อาจจะด้วยเพราะข้อจำกัดในด้านการสื่อสารเป็นเหตุ...แต่หลังๆ มา ผมคิดว่า น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติของพวกเค้าเสียมากกว่า ถ้านึกภาพไม่ออก ลองนึกภาพเราพูดคุยกับชาวชนบทไกลๆ ในบ้านเราก็ได้ครับ...อารมณ์พูดน้อยๆ, ไม่สบตา แต่แฝงความเป็นมิตรอยู่ในที ... งานที่ผมมาช่วยทีมงาน เป็นงานประมาณ Photo Contest เราช่วยกันจัด prop สำหรับให้ลูกค้ามาถ่ายภาพ แล้วก็ post เพื่อหาว่า ใครจะได้ like มากกว่า งานลักษณะนี้...บ้านเราถือว่า...

Post#4-144: ความชำนาญที่อาจเป็นหายนะ

Post#4-144: หนึ่งในข้อควรระวังสำหรับใครก็ตามที่ทำอะไรซ้ำๆ อยู่บ่อยๆ ก็คือ "ความเคยชิน" แม้ว่า "ความเคยชิน" ที่ว่า อาจจะนำไปสู่ความชำนาญหรือความคล่องแคล่วได้ก็ตาม... แต่หากคนที่ทำงานนั้น ทำแบบขอไปที เพียงเพื่อให้งานเสร็จ...ก็จะได้แค่ความรวดเร็วในการทำงาน หากทำงานเพียงแค่ให้เสร็จ โดยไม่มีการเฉลียวคิดถึงหนทางที่จะปรับปรุงงานให้ดีขึ้นแล้วล่ะก็...ถ้าจะเรียกว่า "ทำงานไปวันๆ" ก็คงไม่แรงเกินไป กระมังครับ? ... หากเราได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไรก็ตามที่มีลักษณะเป็นงาน Routine...อันดับแรก จึงควรเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนว่า เป้าหมายของงาน Routine นั้น คืออะไร? เมื่อรู้เป้าหมาย แล้วจึงค่อยกำหนดขั้นตอนทำงานขึ้นมา...แรกๆ อาจจะยังไม่ลงตัวนัก แต่ก็จะดีขึ้นและเก่งขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป แค่นี้ใครๆ ก็ทำได้...และแปลว่า ถ้าเราทำแค่นี้ เราก็เป็นได้แค่พนักงานทั่วไปนั่นเอง ดังนั้น เราจึงน่าจะทำบางอย่างเพิ่มขึ้น! ... บางอย่างที่ว่า ก็คือ การปรับปรุง หลังจากกำหนดขั้นตอนแล้ว ก็ต้องลงมือทำ...เมื่อลงมือทำ ต้องคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลา ว่าทำแล้ว ผลลัพธ์ยังตรงเป้าหมายอยู่มั๊ย? ...

Post#4-143: สับสนทาง Line

Post#4-143: ใครที่ใช้ Line อยู่ คงประสบปัญหาคล้ายๆ กับผมอยู่บ้าง...นั่นก็คือ ถูกชวนเข้ากลุ่มนั้น นู้น นี้ เยอะมาก ^^ โดยมากก็เป็นกลุ่ม chat เรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป...แต่ก็มีไม่น้อยเลย ที่เราใช้ Group Line ในการคุยกันเรื่องงาน แล้วก็บ่อยครั้งเหลือเกิน ที่เราดันส่งข้อความไปผิดกลุ่ม...ส่งรูปหรือข้อความที่ไม่เหมาะสมที่ตั้งใจจะคุยกันในกลุ่มเพื่อน ไปเข้า Group Line ที่คุยกันเรื่องงาน สำหรับใครที่โชคดีมากหน่อย...กลุ่มที่ว่า ก็มักจะมีเจ้านายอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย งานเข้า! ... แม้จะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่มักจะพูดถึงบุคคลที่ 3 ในยามลับหลัง (ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า "นินทา" นั่นล่ะครับ)...แต่ผมคิดว่า บางทีการใช้ chat เป็นสื่อ อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย บ่อยครั้งที่มีการ cap หน้าจอ แล้วก็กลายเป็นหลักฐานชั้นดีที่อาจทำให้ "ความซวย" มาเยือนเราในภายหลัง ดังนั้น ถ้าคิดจะนินทาหรือ "เม้าส์" ใคร จนทนไม่ได้...ไปเจอกันต่อหน้า น่าจะดีกว่าครับ ^^ ... สำหรับใครที่เผลอส่งไปผิดกลุ่ม แล้วรู้สึกตัวทัน...ให้เปลี่ยนเป็น Flight Mode อย่างไวครับ หลังจากการส่งข้อความนั้น...

Post#4-142: มีเธอจึงมีฉัน...มีฉันจึงมีเธอ

Post#4-142: ค่ำคืนนี้ ผมมี Party ฉลองปีใหม่ กับน้องๆ ทีมงานและครอบครัวของพวกเค้า...เป็นงานเล็กๆ ที่เหมือนงานคืนสู่เหย้านิดๆ เพราะเราเชิญน้องๆ ที่เคยทำงานด้วยกันมาร่วมงานด้วย แม้ส่วนตัวผมจะไม่ค่อยชอบงานสังสรรค์ที่มีคนมากๆ สักเท่าไหร่...แต่ถ้าเป็นงานที่จัดให้กับทีมงานแล้วล่ะก็ ผมไม่เคยเกี่ยง งานสังสรรค์แบบนี้...ถือเป็นการแสดงความขอบคุณทีมงาน ที่ได้ทุ่มเทและเหนื่อยยาก เพื่อบริษัท มาตลอดทั้งปี และถือเป็น "วันปลดปล่อย" ที่น่าจะช่วยลดความตึงเครียดสะสมของน้องๆ ได้บ้าง...ไม่มากก็น้อย ... ไม่รู้สิครับ...บางครั้งงานสังสรรค์แบบนี้ ก็น่าจะเป็นรูปธรรมที่สุด ของวาทะที่ว่า "มีสุขร่วมเสพ" ได้ไม่น้อย หลังจากที่ ทั้งนายและลูกน้อง ต่างก็กอดคอ "มีทุกข์ร่วมต้าน" กันมาทั้งปี สำหรับผม...การได้แชร์ความทุกข์กับความสุขร่วมกัน จึงถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่ง ของการได้เป็น "ครอบครัวที่สอง" ของกันและกัน ได้เป็นอย่างดี ... นอกจากนั้น สำหรับผมแล้ว งานสังสรรค์แบบนี้...ก็เป็นโอกาสให้ผมได้เห็นมุมบางมุม, ความสามารถบางอย่าง หรือแม้กระทั่ง look ใหม่ๆ ของทีมงาน ซึ่งบางค...

Post#4-141: คุมสติให้ดี...แล้วจงสู้ต่อ

Post#4-141: เช้าวันนี้ ผมไปพบอดีตเจ้านายเพื่อกราบสวัสดีปีใหม่และขอพรเพื่อเป็นกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต พรข้อหนึ่งที่ผมชอบมาก...ก็คือ ขอให้มีสติกำกับอารมณ์อยู่เป็นนิจ ตลกเหลือเชื่อ ที่ช่วงหัวค่ำ พรที่ท่านมอบให้ ก็ช่วยดึงสติผมไว้จริงๆ...เพราะ Business Plan ปีนี้ ของผม ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากกลุ่มผู้ถือหุ้น นั่นหมายความว่า ความเหนื่อยยากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่อาจแปลงเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้...และผมยังมีภาระที่จะต้องผลักดันให้ Business Plan ผ่านการอนุมัติให้จงได้ ... บ่อยครั้งที่ความเหนื่อยยากในการทำงานนั้น ไม่ได้จบลงแบบ Happy Ending...ตรงกันข้าม มันมักจะมีแนวโน้มไปทาง Hectic Ending หรือ Tragedy เสียล่ะมากกว่า ถ้าใครดึงสติไว้ไม่ดีพอ...เราก็มักจะ re-act กับความผิดหวังไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์...ส่งผลให้ชีวิตในวันรุ่งขึ้นนั้น สับสนและวุ่นวาย ดังนั้น พระท่านจึงมักจะเทศน์สั่งสอน และผู้ใหญ่ท่านจึงมักจะให้พร...ให้เรามีสติกำกับอารมณ์อยู่เป็นนิจ บางที การจะตัดสินว่า เรามีความเป็นผู้ใหญ่เพียงพอมั๊ย ก็คงต้องดูที่ว่า เรากำกับตัวเองให้ตอบสนองต่อมิจฉาอารมณ์ ได้ดีเพียงใด กระมัง? .....

Post#4-140: ฝึกอบรมสู่ความยั่งยืน

Post#4-140: เช้าวันนี้ผมไปประชุมกับคู่ค้ารายหนึ่ง เพื่อวางแผนร่วมกันสำหรับ project ที่ผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 2 ฝ่าย ต่างเห็นชอบให้เดินหน้าได้ หนึ่งในประเด็นที่หารือกันอย่างเข้มข้น ก็คือประเด็นที่เกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องกับการฝึกอบรม ส่วนตัวแล้ว...ผมเชื่อว่า หัวใจของการทำธุรกิจสมัยใหม่นั้น เราจำต้องใส่ใจเป็นอย่างมากกับการสร้างความยั่งยืนของธุรกิจ ซึ่งมี "การฝึกอบรม" เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ ... การทำอะไรก็ตามที่อาศัย "ความชำนาญส่วนบุคคล" นั้น เป็นอะไรที่เสี่ยงอย่างยิ่งสำหรับองค์กร นั่นเพราะ เรากำลังฝากทุกๆ อย่างขององค์กรไว้ในกำมือของคนเพียงคนใดคนหนึ่ง...เมื่อคนคนนั้นหายไปหรือจากไป องค์กรนั้นๆ จึงเกิดการถดถอยไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การที่เราพยายามดึงความรู้ความชำนาญจากคนในองค์กร ให้กลายมาเป็น "ฐานข้อมูล" หรือ "องค์ความรู้" ขององค์กร...จึงนับเป็นกลไกสำคัญที่จะสร้างความยั่งยืนขององค์กรให้มากขึ้นในระดับหนึ่ง ... ถ้าโลกนี้ปราศจาก "ตัวอักษร" ขึ้นมา...นึกภาพออกมั๊ยครับ ว่าการถ่ายทอดความรู้จะยุ่งยากเพียงใด? การถ่ายทอดความร...

Post#4-139: เป้าหมายที่หมายมุ่ง

Post#4-139: เหลืออีกแค่สัปดาห์เดียว เดือนมกราคมก็กำลังจะโบกมือลาเราไปแล้ว...ได้ตรวจสอบกันบ้างมั๊ยครับ ว่าเป้าหมายที่ตั้งกันไว้อย่างมุ่งมั่นตั้งแต่ต้นปีน่ะ เราทำไปได้ถึงไหนแล้ว? คำว่า "เป้าหมาย" ก็มีความหมายที่ชัดเจนว่า "เป้า" ที่ "หมาย" ซึ่งหมายถึง สิ่งที่เราต้องการ บางคนจึงไม่มีโอกาสบรรลุเป้าหมาย เพราะตั้งเป้าหมายไปอย่างนั้นเอง เผื่อเอาไว้ใครถาม ก็จะได้บอกว่า "ฉันก็มีเป้าหมายนะ" ... ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด ระหว่างคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จ กับคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จนั้น...แท้จริงแล้ว ก็อยู่ที่ความจริงจังต่อการบรรลุเป้าหมาย นั่นเอง แค่ตั้งเป้าหมาย ใครๆ ก็ทำได้...แต่การบอกตัวเองให้จริงจังและมุ่งมั่นต่อเป้าหมายในทุกๆ วันนั้น มีแต่คนที่ต้องการประสบความสำเร็จอย่างแรงกล้าเท่านั้น ที่จะทำได้ "เป้าหมาย" จึงมิควรใช่แค่ "คำสวยหรู" ที่เราคิดไว้เพื่อบอกผู้คน แต่มันคือ "ฝัน" ที่เราต้องการให้มันเป็นจริง ... ระยะเวลา 1 ปี ที่เรามักจะกำหนดไว้เป็นระยะเวลาที่จะทำเป้าหมายให้เป็นจริงนั้น...จะว่านานก็นาน จะว่ามัน...

Post#4-138: Contemporary

Post#4-138: ให้บังเอิญผมไปเปิดเจอ Music Video สมัยที่ตัวผมเองยังเป็นละอ่อนเข้าให้ใน Youtube ^^ แน่นอนว่าเพลงก็ยังเพราะเหมือนเดิม...แต่ดูไปผมก็ขำไป ว่าทำไมสมัยนู้นแต่งตัวกันแบบนี้ ทำไมทำผมทรงนั้น ทำไมแต่งหน้ากันได้ฮาจัง แต่ทำไมในตอนนั้น เราถึงรู้สึกว่าแต่งตัวแบบนี้แหละดีแล้ว, ผมทรงนี้นี่แหละ ล้ำสุด และแต่งหน้าแบบนี้ช่างงามแท้ ... มาสมัยนี้ ที่ผมตั้งคำถามกับเพลงบางเพลง หรือดนตรีบางแนวที่วัยรุ่นสมัยนี้ชอบฟัง...ว่า "นี่เรียกว่า "เพลง" เหรอ?" และยอมรับว่า ปวดหัวไม่น้อย กับ Style การแต่งตัว หรือ Fashion บางอย่าง ของบรรดาคนวัยหนุ่มสาวสมัยนี้ แต่กับเพลงหรือการแต่งตัวที่ผมภูมิใจหนักหนาน่ะ...คนรุ่นพ่อกับแม่ของผม ก็เคยพูดกับผมเช่นกันว่า "ฟังอะไรน่ะ ไม่เห็นจะได้เรื่อง" หรือ "แต่งตัวให้มันดีๆ หน่อยได้มั๊ย?" นี่สินะ...ที่เราเรียกว่า "ช่องว่างระหว่างวัย" ... ดังนั้น ใครที่มี "ความร่วมสมัย" มากๆ (ภาษาอังกฤษ เรียกว่า "Contemporary) จึงน่าจะเข้าใจคนที่อายุต่างจากตัวเรา ได้ดีกระมัง? น่าเสียใจที่คนแบบนี้มีไม่มาก เราจึงเห...

Post#4-137: Super 10

Post#4-137: ช่วงนี้ผมกำลังติดรายการ Super 10 ที่ฉายทางช่อง WorkPoint TV (แน่นอนว่าผมดูผ่าน Youtube) รายการนี้เป็นรายการใหม่ ที่ให้เด็กๆ ตั้งแต่เด็กเล็กมากๆ จนไปถึงเด็กโตประมาณ 11-12 ปี มาแสดงความสามารถ แลกกับของรางวัล ซึ่งเด็กๆ จะเป็นผู้กำหนดเอง (ทางรายการเรียกของรางวัล ว่า "ความฝัน") ผู้ดำเนินรายการ คือ "พี่ซุปฯ" ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของรายการเด็กไปแล้ว ก็ทำหน้าที่ได้ดี มีอารมณ์ร่วมและมีแง่คิดสอนเด็กๆ ได้น่าสนใจ เด็กๆ ต้องแสดงความสามารถเพื่อเรียกคะแนน 2 ใน 3 จากกรรมการ ซึ่งมี 3 ท่าน คือ ครูเงาะ, คุณตั๊ก บริบูรณ์ และคุณเสนาหอย...รวมๆ แล้ว ก็เรียกรอยยิ้มได้ดีจัง ... ที่ผมชอบดูก็เพราะเด็กๆ นั้น น่าเอ็นดูเหลือหลาย และเด็กอีกหลายคนก็เก่งกาจจนผมอดทึ่งและเปรียบเทียบไม่ได้ว่า ตอนอายุเท่าพวกเค้า ผมทำอะไรอยู่หนอ? อย่าง "น้องพี" จอมแม่นคาน ที่กลายเป็นคนดังระดับ 10 ล้าน view...ก็คือหนึ่งในเด็กอัจฉริยะที่มาออกรายการนี้ ต้องบอกว่า ความสามารถของน้องพี และความสามารถของเด็กบางคนนั้น บ่งชี้ได้ชัดเจนว่า "เด็กไทย" เก่งไม่แพ้เด็กชาติอื่นๆ...เรียกว่า คว...

Post#4-136: ถก idea

Post#4-136: ค่ำวันนี้ ผมนั่งถก idea กับเพื่อนในเรื่องของ project ใหม่ ที่อาจจะมีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน เวลาถกกันแบบนี้ ผมมักจะชอบสลับบทกับเพื่อนไปๆ มาๆ ระหว่างการเป็น "ฝ่ายเสนอ" และ "ฝ่ายค้าน" พูดง่ายๆ ก็คือฝ่ายค้านต้องทำหน้าที่มองหา "จุดอ่อน" หรือ "ช่องว่าง" ที่ฝ่ายเสนอ แจกแจง ideaให้ฝ่ายค้านฟัง นั่นเอง ... ถ้าฝ่ายเสนอไม่สามารถชี้แจงได้จะแจ้ง ก็แปลว่า idea นั้น ยังไม่ชัดเจนพอ หรือยังคิดไม่รอบคอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ถ้าฝ่ายค้านหาจุดอ่อนไม่เจอ จะแปลว่า idea นั้นดีแล้วนะครับ...เพียงแต่นับว่า "ผ่าน" การซักค้านในระดับหนึ่ง ก็เท่านั้น บ่อยครั้งที่ idea ที่ดูเหมือนจะดีในตอนแรก กลับต้องถูกโยนทิ้งไป เมื่อถกกันมาถึงขั้นตอนการปฏิบัติก็มี หรือเมื่อคำนวณความคุ้มค่าของการลงทุน ก็มี ... ผมชอบบรรยากาศของการถก idea เพราะสำหรับผมแล้ว มันคือ "การออกกำลังสมอง" ได้ดีเป็นพิเศษ ยิ่งถูกซักค้านมากประเด็นเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกว่า นี่เป็นความท้าทายอย่างสร้างสรรค์...เพราะบ่อยครั้ง ที่การซักค้านนี้เอง เป็นตัวผลักดันให้ idea บางเรื่อง ดีขึ้นอย่...

Post#4-135: Work "heart"

Post#4-135: บ่อยครั้งที่เรามัวแต่ work hard คือก้มหน้าก้มตาทำงานไป เพียงเพื่อต้องการหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง...แต่ลืมไปว่า การหาความสุขไว้เลี้ยงใจ ก็สำคัญไม่น้อย หลายคนที่คิดได้ จึงค้นพบแล้วว่า "เงิน" ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด...ที่จะทำให้เค้าหรือเธอลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อไปทำงาน ผมกำลังจะยกตัวอย่างถึงเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ที่ผมพึ่งจะเห็น post ของเธอเมื่อครู่นี้เอง...เป็น post สั้นๆ ที่มีแค่รูปผลงานของเธอ พร้อมกับ caption สั้นๆ ว่า I work "heart" ดูรูปผลงานกับอ่าน caption นี้แล้ว ผมรู้สึกได้เลย ว่าเธอมีความสุขและความภาคภูมิใจมากมายกับผลงานของเธอ... อีกทั้ง ผมก็ชอบใจเหลือหลาย เพราะมันเป็น caption ที่สอนใจได้ดีเหลือเกิน...จนผมอดไม่ได้ ต้องนำมาขยายความต่อ ... ในแต่ละวันเราทำหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องงาน, เรื่องเล่น หรือเรื่องอื่นๆ แต่มีใครจำได้บ้างมั๊ยครับ ว่าครั้งสุดท้ายที่ทำอะไรด้วยการใส่ "หัวใจ" ลงไปเต็มร้อยน่ะ มันเมื่อไหร่กันเอ่ย? ลองนึกย้อนกันไปหน่อยครับ...ผมให้เวลา 5 นาที ... บางคนใช้เวลาคิดแป๊บเดียว แต่บางคนคิดอยู่เป็นนานสองนานก็...

Post#4-134: Dress Code

Post#4-134: ค่ำนี้ผมนีนัด Dinner สุดหรู ที่ Exclusive Club แห่งหนึ่ง กับผู้บริหารองค์กรระดับแสนล้าน พร้อมกับแขก VIP ชาวต่างชาติ ทั้งที่รู้ล่วงหน้า แต่ผมก็ดันแต่งตัวออกจากบ้านมาด้วยความเคยชิน คือ look สบายๆ ค่อนไปทางกะโปโล ถือเป็นความผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัยเอาเสียเลย...ค่าที่เผลอเรอจนไม่ทันนึกถึง Dress Code ของสถานที่ มานึกขึ้นได้ ก็ตอนที่เห็นป้ายที่หน้าลิฟต์ ก่อนที่จะขึ้นไปถึง Club เสียแล้ว ... แน่นอนว่าด้วยบารมีของท่านผู้บริหารท่านนั้น...ผมเลยยังมีโอกาสเข้ามานั่งลอยหน้าร่วมโต๊ะ Dinner กับท่านได้ แต่ผมรู้สึกผิดในใจมากๆ เพราะต้องทำให้ท่านต้องมาใช้บารมีในทางไม่ชอบ...และรวมไปถึงผมก็แอบขายหน้า VIP ชาวต่างชาติด้วย พลาดครั้งนี้...ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลย นอกจากต้องเอ่ยปากกราบขอโทษท่านฯ และแขก VIP ที่ผม "ชุ่ย" โดยไม่สมควร ... บางคนอาจจะคิดว่า เรื่องการแต่งตัวผิด Dress Code นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก แต่ผมกลับคิดว่า นี่เป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจไม่น้อยเลย เพราะถือเป็นการเคารพกติกาของสถานที่นั้นๆ รวมไปถึงเป็นการให้เกียรติท่านผู้ร่วมโต๊ะอาหาร ที่สำคัญ คือต้องนึกถ...

Post#4-133: รักเอย

Post#4-133: ช่วงบ่ายวันนี้ ผมได้รับทราบข่าวที่น่ายินดีมากๆ เพราะเพื่อนผมกำลังจะแต่งงาน ที่พิเศษมากกว่างานแต่งงานอื่นๆ ก็เพราะเพื่อนผมเป็นชายไม่ฝักใฝ่ในหญิง ที่แต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน แถมเป็นชาวต่างชาติอีกด้วย นี่เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเหลือเกิน ว่าความรักนั้น "ไม่มีพรมแดน" เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพ หรือแม้แต่เชื้อชาติ ก็มิอาจกั้นขวาง "หัวใจรัก" ได้ ... ไม่รู้สิครับ...แม้ผมจะไม่ชินกับการแต่งงานของเพศเดียวกัน แต่ผมก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นคู่รักเพศเดียวกันตกลงประกาศให้โลกรู้ ว่าพวกเค้าจะอยู่ร่วมกัน พวกเค้าแคร์กันและกัน มากกว่าจะแคร์สายตาของคนรอบข้างที่อาจจะไม่เข้าใจในความรักที่พวกเค้ามีให้แก่กัน และเมื่อใจกับใจผูกกันแน่นแฟ้นจน 2 วิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียวแบบนี้...มันจึงเป็นความรักที่ "งดงาม" จนมิอาจอธิบายเป็นคำพูดได้ ... ไม่ว่าจะเป็นชายรักชาย, หญิงรักหญิง หรือจะเป็นชายรักหญิง ก็ตามแต่...หากว่านั่นคือ "รักแท้" แล้วล่ะก็ มันย่อมเป็นความรักที่ "เลอค่า" เสมอ เห็นด้วยกับผมมั๊ยครับ ว่าแม้ร่างกายจะย่อมเสื่อมไปตามก...

Post#4-132: สุดยอดนักบริหาร

Post#4-132: ผมพึ่งจะจบ Dinner Meeting เมื่อสักไม่เกินครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานี้เองครับ...ซึ่งการประชุมไปด้วยทานข้าวไปด้วยนี้ แทบจะกลายเป็นกิจวัตรในการทำงานของผมไปแล้วก็ว่าได้ ประชุมช่วงค่ำๆ ทีไร ผมนี่นึกภาวนาอยากให้วันหนึ่งมีมากกว่า 24 ชั่วโมง เสียเหลือเกิน เพราะเวลาที่มีในแต่ละวันนั้น แทบจะไม่พอสำหรับงานที่มี แต่คิดไปคิดมา ผมว่า ความจริงแล้ว...น่าจะเป็นเพราะผมยังบริหารเวลาได้ไม่ดีพอ ก็เป็นได้ ... อย่างที่ผมเคยแชร์ไว้ใน Post2-242...ว่าเมื่อทำงานมาถึงระดับหนึ่ง จนเราเป็นผู้บริหารระดับสูงแล้ว เราจะพบว่า คำว่า "ผู้บริหาร" นั้น มิได้หมายถึง การบริหาร "งาน" แต่เพียงเท่านั้น...หากแต่ยังหมายรวมถึง การบริหาร "คน", "เงิน" และรวมไปถึงบริหาร "เวลา" อีกด้วย แต่ละคนย่อมมีขีดความสามารถในการบริหารปัจจัยต่างๆ แตกต่างกันไป...ซึ่งหากใครบริหารปัจจัยต่างๆ ที่ผมว่ามาได้ดี ย่อมหมายความว่าใครคนนั้น ก็น่าจะนับได้ว่าเป็น "ผู้บริหารชั้นยอด" ... อดีตรองนายกฯ ท่านหนึ่ง ได้เคยแนะนำผมไว้ ว่าการบริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องประกอบไ...

Post#4-131: กินเพื่ออยู่ vs อยู่เพื่อกิน

Post#4-131: หลังจากไม่ได้ไปเดินตลาดเสียนาน...ผมก็เริ่มจะติดสอยห้อยตามภรรยาไปเดินตลาดเช้า กับเค้าบ้าง เรื่องของเรื่องก็คือ อยากจะเดินออกกำลัง และหากิจกรรมทำร่วมกับภรรยา นั่นเองครับ อีกเหตุผลหนึ่ง ก็คืออยากเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ บ้าง เพราะผมไม่ได้เดินตลาดสดก็หลายปีเอาการอยู่...ชีวิตวนเวียนอยู่แต่ใน Supermarket เป็นหลัก เหมือนๆ กับคนกรุงเทพฯ ฐานะปานกลางทั่วๆ ไป เมื่อไปเดินตลาด เห็นอะไรก็น่าซื้อน่าจ่ายไปเสียหมด เพราะเทียบราคาแล้ว ถูกกว่าใน Supermarket ไม่น้อยเลย ... เท่าที่ลองสังเกตดู...ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเราไม่ได้มาจับจ่ายที่ไหนเป็นประจำ เรามักจะลงท้ายด้วยการจับจ่ายมากกว่าที่เราต้องการเสมอ อย่างเช้านี้ ผมก็ "จัดเต็ม" ด้วยการซื้อและซื้อ จนนึกไม่ออกว่า จะกินอาหารที่สรรหาและเลือกซื้อไปนี้ หมดเมื่อไหร่? กลับถึงรถ...เมื่อเห็นปริมาณของที่ซื้อแล้ว ผมเริ่มไม่แน่ใจ ว่าถ้ากินไม่หมดจนต้องเหลือทิ้ง ราคาจะถูกกว่าในห้างฯ มั๊ยหนอ? ... ผมว่า ในชีวิตเราเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ บ่อยอยู่ไม่น้อยเลย คือบ่อยครั้งที่เราจับจ่ายข้าวของด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล...และรู้สึกตัวอีกที ก็ลงท้ายไปก...

Post#4-130: Caddy คู่ใจ / ลูกน้องคู่ยาก

Post#4-130: เช้าตรู่วันนี้ ผมพบตัวเองย่ำต๊อกอยู่ในสนามกอล์ฟอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปจากกีฬาในดวงใจนี้ กว่า 2 เดือน ผมเล่นกอล์ฟที่สนามแห่งนี้มากว่า 10 ปี โดยไม่คิดเปลี่ยนไปเล่นที่อื่น...ด้วยเหตุผลหลากหลาย หนึ่ง คือสามารถออกรอบคนเดียวได้ ซึ่งสนามอื่นๆ ต้องมีสมาชิกออกรอบขั้นต่ำ 3-4 คน สอง คือสนามอยู่ใกล้บ้านมาก ขับรถไม่ถึง 30 นาที ก็ถึงแล้ว และสาม คือข้อสำคัญ...นั่นก็คือ มี Caddy คู่ใจ ที่ถือถุงกอล์ฟให้ผม ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเล่นกอล์ฟ เมื่อ 10 กว่าปี ที่ผ่านมา ... ใครที่เป็นนักกอล์ฟจะรู้ดี ว่าถ้าวันไหนดวงกุด เจอ Caddy ที่เคมีไม่ตรงกัน วันนั้นความสนุกในการเล่นกอล์ฟจะหายไปเกินกว่าครึ่ง แต่ถ้าวันไหนได้ Caddy ประสบการณ์สูง และอัธยาศัยดี...วันนั้น การเล่นกอล์ฟของเราจะง่ายขึ้นเยอะ เพราะกอล์ฟเป็นกีฬาที่อารมณ์มีผลต่อการเล่นเป็นอย่างมาก...ดังนั้น การมีคนรู้ใจคอยช่วยอยู่ข้างๆ จึงทำให้การเล่นเต็มไปด้วยความสนุก ส่วนผลงานจะดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือแล้ว ... ในชีวิตการทำงานก็เช่นกัน...เจ้านายทั้งหลายก็มิอาจทำงานได้อย่างสนุกสนานและมีความสุข ตราบเท่าที่ยังหาใครที่เป็น "มือข...

Post#4-129: โชว์พาวฯ เกินงาม

Post#4-129: คืนวานนี้ ระหว่างเดินทางกลับจากต่างประเทศ...ผมพบประสบการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ เรื่องของเรื่องก็คือ เจอผู้โดยสารชาวไทยที่ค่อนข้าง Talkative มากเป็นพิเศษ (สมมติว่าชื่อ "เจ๊จ้อ" ก็แล้วกันนะครับ) ไม่รู้ว่าผมจะมีอคติมากไปรึเปล่า...แต่รู้สึกเหมือนกับว่า เธออยากจะแสดงให้โลกรู้ว่า เธอ "พูดภาษาอังกฤษ" ได้ เธอก็เลยพูดด้วยเสียงดังขนาดที่ได้ยินไปทั่วทุกที่นั่งที่อยู่รายรอบ ... มิใยที่ผู้โดยสารรอบๆ หลายๆ คนหันไปมองเธออยู่บ่อยๆ ก็แล้ว...แต่ยิ่งมองก็ดูเหมือนว่า เสียงเธอจะดังขึ้นเรื่อยๆ สังเกตุจากสีหน้า...ราวกับว่าเธอภูมิใจมาก ที่ใครต่อใครต่างก็หันมามอง และเธอคงคิดว่าผู้คนต่างชื่นชม skill ในการพูดภาษาอังกฤษของเธอ ถึงตรงนี้ ผมจึงเริ่มมั่นใจว่า ผมคงไม่ได้อคติกับเธอมากจนเกินไป ด้วยเพราะผู้โดยสารท่านอื่นๆ ก็เริ่มแสดงอาการรำคาญเธอ เหมือนที่ผมรู้สึก ... ผมเชื่อว่า คนไทยหลายสิบล้านคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี...แต่ไม่น่าจะมีมากคนที่ภูมิใจขนาดที่ต้องพูดด้วย decibel ที่ดังขนาดให้โลกรับรู้ ว่า "ข้าพูดภาษาอังกฤษได้ ข้าเจ๋ง" แบบนี้ จะว่าเจ๊จ้อหูตึง...

Post#4-128: เข้าเมืองตาหลิ่ว

Post#4-128: ความท้าทายหนึ่งที่ผมเผชิญอยู่ทุกเดือนก็คือ จะทำยังไงให้ลูกน้องชาวต่างชาติเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการให้พวกเค้าทำ ที่ยากที่สุดก็คือ ผมพูดภาษาเค้าไม่ได้ และพวกเค้าต่างก็ไม่เข้าใจภาษาไทยเลย...เราจึงต้องสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่า ต่างฝ่ายต่างใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับ "ห่วย" ทั้งคู่ นอกจากความแตกต่างทางด้านภาษาแล้ว...ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่อง Working Cultural Style ที่ต้องปรับเข้าหากันอีกด้วย ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็ประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้...และมักจะมีคำถาม classic ที่ถกเถียงกันมานานแล้วว่า ตกลงใครต้องปรับเข้าหาใครกันแน่? ... ถ้าเข้าใจสำนวนที่ว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม" ล่ะก็...เราก็คงไม่ต้องมาถกเถียงกันให้มากความ เรากำลังทำธุรกิจอยู่ประเทศไหน...ฝ่ายที่ต้องปรับตัว ก็ย่อมเป็นฝ่ายผู้มาเยือน โดยไม่ต้องสนใจว่า จะเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง เพราะถ้าอยากเข้าไปหาเงินในประเทศเค้า แต่ยังทำตัวเหมือนอยู่ประเทศตัวเอง...เห็นทีว่าคงจะสำเร็จยากสักหน่อย ... ฉะนั้นและฉะนี้...ใครที่คิดจะไปทำธุรกิจข้ามชาติ คงจำเป็นจะต้องประเมินให้ชัดเจน ว่าตัวเองจะ...

Post#4-127: ภาษีสังคม

Post#4-127: ใครที่ทำงานมีรายได้เป็นของตัวเองแล้ว ก็มักจะหนีไม่พ้นค่าใช้จ่ายหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่า "ภาษีสังคม" ว่ากันให้ถูก มันก็คือค่าใช้จ่ายในการ "เข้าสังคม" นั่นเอง ภาษีสังคมนั้นมาในหลากหลายรูปแบบ มีทั้งแบบที่จำเป็น และแบบที่ไม่ค่อยจะจำเป็นสักเท่าไหร่...ซึ่งผมว่า แบบหลังมีมากกว่าแบบแรกเยอะ ... แบบที่จำเป็น ก็เช่น เงินบริจาค, เงินทำบุญ, เงินช่วยงานอวมงคล หรือเงินช่วยในงานมงคล ตลอดถึงการซื้อของขวัญหรือของฝากในงานเทศกาลต่างๆ ส่วนแบบที่ไม่ค่อยจำเป็นนั้น ขึ้นอยู่กับนิยามของแต่ละคนครับ...ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันมักมาในรูปแบบ "เห็นคนอื่นมี แล้วก็อยากมีบ้าง" คุ้นๆ มั๊ยครับ กับเหตุผลที่บอกกับตัวเอง ว่าช่วงนี้เค้าฮิตใช้ Brand นั้น, คนอื่นเค้าก็มีกันทั้งนั้น, ยอมไม่ได้ถ้ายัยนั่นมี ฉันก็ต้องมี, ฯลฯ ... แต่ไม่ว่าจะเป็นภาษีสังคมในรูปแบบไหน...ถ้า (ต้อง) จ่ายไป แล้วไม่ทำให้ตัวเองหรือคนรอบข้างต้องเดือดร้อน ก็คงจะอยู่ในระดับ "พอรับได้" ครับ ผมเห็นมาเยอะ ทั้งพวกที่ซื้อ Brand Name แล้วก็ต้องพี่งพาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกมื้อไปหลายๆ เดือน ต้นเดือนไป...

Post#4-126: ฝันให้เป็นจริง

Post#4-126: เมื่อช่วงบ่ายนี้เอง ผมคุยกับลูกน้องมือดีคนหนึ่ง ถึงเรื่องเป้าหมายของเค้าในอีก 5 ปีข้างหน้า คำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ผิดแผกไปจากคำตอบที่ผมเคยได้ยินมามากนัก...นั่นคือตั้งเป้าไปที่การสร้างฐานะให้กับตัวเอง ถามผมว่าคำตอบนี้ "ผิด" มั๊ย?...ผมตอบได้ทันทีว่า "ไม่ผิด" แต่ถามผมว่า "ถูก" มั๊ย?...ผมคงต้องตอบว่า "ไม่แน่ใจ" ... ไม่ผิดที่เราอยากจะสร้างฐานะ...แต่เราตอบตัวเองได้มั๊ยนะ ว่าเราจะเลือกหนทางไหนดี ที่จะทำให้ฐานะเราดีขึ้นได้ สมัยเรียนมัธยม...เวลาเราตั้งเป้าจะเรียนต่อสายอุดมศึกษา เรายังต้องตั้งเป้าให้ชัดเลย ว่าจะสอบเข้าคณะอะไร ดังนั้น เวลากำหนดเป้าหมายข้างหน้า เราจึงจำเป็นต้องชัดเจน ว่าจะเลือกทำอะไรดี? จะเป็นลูกจ้างมืออาชีพ, จะเป็นเจ้าของกิจการ, จะไปเล่นหุ้นในตลาด หรือจะทำอย่างอื่น? เมื่อกำหนดเส้นทางได้ชัด...เราจึงจะบอกตัวเองได้ชัด ว่าเราจะต้องทำอะไร, อย่างไร, เมื่อไหร่ จริงตามที่ผมว่ามั๊ย...ผมว่า ทุกคนคงจะตอบได้ ... ผมถึงได้บอกอยู่บ่อยๆ ว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน...แต่ไม่ทุกคนแน่ๆ ที่จะมีสิทธิ์ "ฝันให้เป็นจริง" เ...

Post#4-125: หนี้อันยิ่งใหญ่

Post#4-125: คาดว่าหลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินวาทะที่ว่า "There ain't no such thing as a free lunch." (แปลประมาณว่า ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ) กันมาบ้างนะครับ ยิ่งในสังคมปัจจุบันด้วยแล้ว...ผมแทบจะพูดได้ว่า นอกจากอากาศกับแสงแดดแล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เราต่างต้องแลกมันมาด้วยอะไรบางอย่างทั้งสิ้น ผมเองก็ออกจะเห็นด้วยกับวาทะนี้อยู่มาก...เพราะแม้ว่าจะมีใครกรุณาช่วยเหลือเราโดยไม่หวังผลตอบแทนก็ตาม แต่สุดท้ายเราก็ตกเป็น "หนี้บุญคุณ" อยู่นั่นเอง ... "หนี้บุณคุณ" จึงถือเป็นหนี้ที่มีขนาดและน้ำหนัก...ที่กดทับจิตใจมากที่สุด เหนือหนี้อื่นๆ ที่สำคัญมันน่าจะเป็นหนี้ประเภทเดียว ที่ทำให้เรารู้สึกว่า "ใช้คืน" ไม่จบไม่สิ้น หนี้ประเภทนี้ จึงเป็นหนี้ที่ผมพยายามจะหลีกเลี่ยง...ด้วยเพราะไม่อยากแบกรับความรู้สึกนี้ไว้ในใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว...ผมเองก็ไม่ต่างจากผู้โชคดีอีกหลายล้านคนทั่วโลก ที่มีโอกาสดีๆในชีวิต ที่ได้รับน้ำใจและไมตรีจากใครบางคน แน่นอนว่า "หนี้บุญคุณ" เหล่านั้น...ก็คงไม่อาจลบเลือนออกไปจากใจผมได้โดยง่าย ... ถ้าจะให้ผมบรรยายความรู้ส...

Post#4-124: กระแสเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

Post#4-124: ไม่รู้ผมรู้สึกไปคนเดียวรึเปล่า...เพราะเราผ่านสัปดาห์แรกของปีใหม่ไปแล้ว โดยยังไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเลย อาจเป็นเพราะความขี้เกียจยังจับตามเนื้อตัวและไขข้อรึเปล่าหนอ...ถึงทำให้จะขยับตัวทำอะไรก็ดูเก้ๆ กังๆ ไปเสียทุกอย่าง ขณะที่เรายังคงเคลื่อนตัวได้เชื่องช้า...เวลากลับทำหน้าที่ของมันอย่างขยันขันแข็ง และไม่เคยหยุดรอใครหน้าไหนแม้สักเสี้ยววินาทีที่ผีเสื้อขยับปีก ... คงเป็นเพราะ...เราไม่เคยมองเห็นกระแสเวลา เหมือนที่เรามองเห็นกระแสน้ำ คงเป็นเพราะ...เราไม่เคยสัมผัสกระแสเวลา เหมือนที่เราสัมผัสกับกระแสลม นั่นจึงทำให้เราไม่ค่อยยี่หระกับกระแสเวลา...ที่ไหลผ่านตัวเราไป ... ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ว่าเรามีเวลาเท่ากันทุกคนในแต่ละวัน ที่ 86,400 วินาที และไม่ว่าเราจะใช้เวลาอย่างไรก็ตาม ทั้ง 86,400 วินาทีนี้ ก็จะกลายเป็น "0" ในทุกๆ สิ้นวัน...เก็บออมไม่ได้ และใช้เกินก็ไม่ได้ แต่โชคยังดี ที่แม้ทุกคนจะมี 86,400 วินาทีเท่าๆ กัน...หากแต่รับรองได้ว่า เราต่างจะรู้สึกถึงความยาวนานของแต่ละวินาทีไม่เท่ากัน ... ว่ากันว่า เวลาแห่งความสุขนั้นไหลเร็ว ส่วนเวลาแห่งความทุกข์นั้นไหล...

Post#4-123: คนละคนก็คนละฝัน

Post#4-123: ระหว่างเดินช้อบปิ้งอยู่กับลูกสาว...จู่ๆ เธอก็ถามผมว่า "Daddy, what do you think I can be when I grow up?" (พ่อคะ, พ่อคิดว่าโตขึ้นหนูจะเป็นอะไร?") ผมยิ้มแล้วแกล้งทำหน้างง...พร้อมกับถามเธอกลับว่า ก็แล้วเธออยากจะเป็นอะไรล่ะ? หลายๆ คนที่มีลูกเล็กๆ ก็คงเคยถามลูกว่า โตขึ้นอยากจะเป็นอะไร? หรืออาจจะโดนลูกถามเหมือนผมเช่นกัน ... พ่อแม่หลายๆ คนก็คงเลือกตอบเหมือนผม...ก็คือไม่ว่าลูกอยากจะเป็นอะไร เราก็พร้อมจะสนับสนุนให้เค้าได้เป็นอย่างที่ฝัน และเราต่างก็รู้ว่า วันนี้พวกเค้าอาจจะอยากเป็นนั่น แต่ไม่ช้าไม่นานก็อาจจะอยากเป็นนี่...ยังคงไม่มีอะไรแน่นอนเลย สำหรับเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา แต่ก็มีพ่อแม่อีกหลายคนเหลือเกิน...ที่พยายามยัดเยียดความฝันที่ตัวเองทำไม่สำเร็จ...ให้กับลูก โดยไม่เคยถามลูกเลยว่า อยากจะเป็นหรืออยากจะทำ อย่างที่พ่อหรือแม่อยากให้พวกเค้าเป็นหรือทำรึเปล่า? ... ส่วนตัวผมเองนั้น มีความเชื่อว่า ความฝันของใครก็ของคนนั้น...เราฝันแทนกันไม่ได้ ฉันใด เราก็ไม่น่าจะบังคับให้ใครมาชื่นชอบความฝันของเราได้ ฉันนั้น หน้าที่ของพ่อและแม่ จึงมิใช่การส่งมอบความฝันของ...

Post#4-122: ตะเกียบในชามซุปข้าวโพด

Post#4-122: ระหว่างช้อน, ส้อม และตะเกียบ...ถ้าผมให้เลือกเพียงอย่างเดียว จะเลือกอะไรดีครับ? ถ้านับคะแนน ผมคาดว่าคงจะมากกว่าครึ่งค่อน จะตอบว่าช้อน...เพราะดูมีความเอนกประสงค์กว่า ตักอาหารแห้งได้ หรืออาหารประเภทซุปก็ดี ต่างจากส้อมหรือตะเกียบ ที่ดูจะต้องใช้กับอาหารเฉพาะอย่างมากกว่า และที่สำคัญน่าจะใช้กับอาหารแห้งเท่านั้น แปลว่า เลือกช้อน ถูกต้องที่สุดแล้ว ใช่มั๊ยหนอ? ... คราวนี้ เปลี่ยนคำถามใหม่ครับ ถ้าอาหารคือบะหมี่แห้งล่ะครับ จะเลือกใช้อะไรดีเอ่ย? คำตอบก็ไม่น่าจะหลุดจาก ตะเกียบ, ส้อม และช้อน แน่ๆ แล้วถ้าเปลี่ยนอาหารเป็นสปาเก็ตตี้ล่ะครับ? เรียงลำดับ ก็คงจะเป็น ส้อม, ตะเกียบ และรั้งท้ายด้วยช้อน...แม้ว่าตะเกียบจะดูไม่เข้ากับสปาเก็ตตี้สักเท่าไหร่ เอาอีกที...ถ้าเปลี่ยนอาหารเป็นเกี๊ยวน้ำล่ะครับ คิดว่าคนจะเลือกช้อนเป็นอันดับหนึ่ง และสูสีกันระหว่าง ตะเกียบหรือส้อม มั๊ยครับ? ... ในความเป็นจริงแล้ว...เราประเมินตัวเราเองถูกมั๊ยหนอ ว่าเราเป็นช้อน, ส้อม หรือตะเกียบ และเราได้ประเมินรึเปล่า ว่างานที่เราสมัครไป, ทำอยู่ หรือกำลังจะลาออกน่ะ เป็นอาหารที่ถูกประเภทกับตัวเรามั๊ย? ดัง...

Post#4-121: แก้ปัญหาด้วยการรณรงค์

Post#4-121: ทุกช่วงเทศกาลที่หยุดยาวๆ ของบ้านเรา ก็มักจะมีการออกมารณรงค์เรื่อง 7 วันอันตราย กันเป็นประจำ...แต่ก็ทั้งเจ็บและตายกันมากมายจนกลายเป็นเรื่องปกติ ผมไม่แน่ใจว่า เราแก้ไขปัญหาแบบ "เกาถูกที่คัน" มั๊ยหนอ? ออกจะเจ็บใจอยู่มาก...แต่ผมคิดว่า บ้านนี้เมืองนี้ เก่งกันจังในด้านออกนโยบายและรณรงค์ แต่ไม่ค่อยจริงจังและต่อเนื่องในเรื่องการปฏิบัติให้เกิดผล แล้วก็แปลก ที่บ้านเราเมืองเราก็ยังรณรงค์และแก้ไขปัญหากันแบบเดิมๆ มาเป็นสิบๆ ปี โดยรู้ทั้งรู้ว่า มันไม่ได้ผล...แต่ก็ยังคงแก้ปัญหาแบบเดิมๆ อยู่นั่นเอง ... ผมว่า โดยแท้ที่จริงแล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยเลย ที่ขาด "จิดสำนึก" ในการใช้รถใช้ถนน อุบัติเหตุแต่ละครั้งก็เกิดจากเรื่องเดิมๆ คือเมาแล้วขับ, ง่วงหลับใน, เร่งทำรอบ, ชอบขับเร็ว และ ฯลฯ ความจริงมันก็เป็นเรื่องน่าเคืองไม่น้อย ที่คนก่อเหตุมักปลอดภัย แต่คนเจ็บคนตายมักเป็นคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย แล้วคนก่อเหตุทั้งหลาย ก็มักจะชอบหงายการ์ด "รู้เท่าไม่ถึงการณ์" ทุกทีไปสิน่า ไม่รู้ว่าจะต้องเจ็บและตายอีกเท่าไหร่ คนที่ขาดจิตสำนึกจึงจะพอสำนึกได้บ้าง? ... ...

Post#4-120: เดี๋ยวนัดคุยกัน

Post#4-120: หนึ่งในประโยค classic ที่เรามักจะได้ยินในที่ประชุมก็คือ "เดี๋ยวนัดคุยรายละเอียดกัน" หากเราเป็นคนพูดประโยคที่ว่า ลองถามตัวเองดูมั๊ยครับ ว่าได้มีโอกาสนัดคุยอย่างที่พูดไว้มั๊ยเอ่ย? หรือถ้าเราเป็นอีกฝ่ายล่ะ หลังจากประชุมแล้ว ได้ติดตามฝ่ายที่พูด เพื่อที่จะนัดคุยต่อบ้างมั๊ย? ... ประโยคที่ว่าข้างต้น จึงเป็นประโยคที่พูดแล้วดูดี ฟังแล้วก็ผ่อนคลาย...แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมพบว่า น้อยครั้งเหลือเกิน ที่จะมีการนัดคุยกันจริงๆ คำว่า "เดี๋ยว" ของแต่ละคน อาจหมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนานไม่เท่ากัน...บางคนอาจจะหมายถึง หลังประชุมนัดคุยกันเลย แต่กับอีกหลายๆ คนนั้น "เดี๋ยว" อาจจะหมายถึง "ชาติหน้า" ก็เป็นได้ ดังนั้น ถ้าเรามีอันจะต้องเป็นประธานที่ประชุม...ก็ขอให้ฝ่ายที่จะต้องไป "คุยรายละเอียดกัน" ที่ว่าน่ะ กำหนดให้ชัดเจนต่อหน้าเราเลยครับ ว่าจะคุยกันที่วันไหน เวลาใด แล้วก็บันทึกลงในรายงานการประชุม พร้อมกำหนดวันรายงานผลให้ชัดเจน...โดยต้องไม่ลืมสอบถามความคืบหน้าด้วย ... ถึงตรงนี้ ถือเสียว่า อาจจะเป็นที่ผมคนเดียวที่โชคไม่ดีได้เจอเหตุการณ์...

Post#4-119: เวลาไม่อาจย้อนกลับ

Post#4-119: เวลาเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีทิศทางเดียว คือเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ต่างจากปริมาณเวกเตอร์อื่นๆ ที่เคลื่อนที่ได้ทั้งไปข้างหน้าและถอยหลัง เมื่อเวลาไม่อาจย้อนกลับได้...เราจึงมิอาจย้อนเวลาไปแก้สิ่งที่เราทำผิดพลาดไปแล้วได้ ดังนั้น เราจึงมีแต่ต้องคิดให้ดีก่อนทำ...และเมื่อทำผิดพลาดไปแล้ว ก็ต้องยอมรับและหาหนทางแก้ไขให้ดีที่สุด เท่านั้น ... ยังไงก็ตามแต่...แม้เราจะย้อนเวลาไม่ได้ แต่กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ก็มักจะหมุนทับรอยเดิมเสมอ แปลว่า อะไรที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ก็มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำอีก...โดยไม่รู้ว่า เกิดจากโชคชะตานั้นเล่นตลก หรือเป็นเพราะมนุษย์ไม่เคยหลาบจำกับความผิดพลาด ถ้าตีความตามนี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า หากเรารู้จักเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต เราก็มีโอกาสที่จะเหนือกว่าคนทั่วไป ... เวลาไม่เคยไหลย้อนกลับ...ดังนั้น เราจึงสามารถย้อนเวลาได้แค่ในความทรงจำเท่านั้น ไม่ว่าเราจะโศกเศร้าหรือตรอมตรมเท่าใด...สุดท้ายแล้ว เราก็จะต้องตื่นขึ้นมาเจอความจริงที่ว่า อดีตนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้ โหยหาอดีต...จึงได้แค่ความโศกเศร้า คิดถึงอดีต...จึงอาจมีเพียงรอยยิ้มหรือน้ำตา เรียนรู้อดีต.....

Post#4-118: พรปีใหม่

Post#4-118: ช่วงนี้ไปไหนมาไหนเราก็จะต้องได้ยินเสียงเพลง "พรปีใหม่" อย่างแน่นอน เราชาวไทยต่างก็คุ้นเคยกับเพลงนี้มาแสนนาน เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงนี้ และทรงโปรดฯ ให้พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์เนื้อร้อง ไว้ตั้งแต่ปี 2494 ที่สำคัญ เพลงนี้เกิดจากพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับปวงชนชาวไทย ดังนั้น นับจากวันอังคารที่ 1 ม.ค. 2495 เป็นต้นมา เราจึงได้รับพรอันประเสริฐจาก "พ่อ" ตลอดมา และแน่นอนว่า เพลงนี้ก็จะอยู่คู่เราตลอดไป ... แม้ว่าพ่อจะจากพวกเราไปสู่สวรรคาลัยแล้ว...แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า พระองค์ยังคงมิได้ทรงจากพวกเราชาวไทยไปไหน ผมยังคงรู้สึกถึงความอบอุ่นยามเมื่อคิดถึงพระองค์ท่าน และยังคงน้ำตารื้นทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ เมื่อได้ยินพระราชดำรัสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ และพรปีใหม่พระราชทานจากสมเด็จพระเทพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แล้ว... ผมยิ่งมั่นใจว่า แท้จริงแล้ว พระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ ก็ยังคงอยู่กับพวกเราชาวไท...

Post#4-117: เราคือ "ไก่ชน"

Post#4-117: ปีเอ๋ยปีนี้ปีไก่แก้ว เราเลือกแล้วที่จะพุ่งมุ่งสู้ฝัน จะเรียนรู้จะปรับปรุงอย่างสำคัญ จะบากบั่นจะต่อสู้ไม่รู้วาง จะจิกตีจะไม่หนีใครที่ขัด จะจิกกัดอุปสรรคที่กั้นขวาง จะยิ่งใหญ่ขันก้องทั่วทิศทาง จะก้าวย่างอย่างไก่ฟ้าพญาลอ ให้มากมีมิตรสหายมารายรอบ ให้พร้อมหน้าครอบครัวอย่างที่ขอ ให้งานดีเงินดีมั่งมีพอ สุขภาพก็พร้อมพรั่งทั้งใจกาย ให้วิญญาณไก่ชนดลสถิตย์ ให้เรืองฤทธิ์พิชิตได้อย่างมั่นหมาย จิกกัดตีทุกปัญหาให้คลี่คลาย เป็นไก่ชนที่หมายครองของผองชน ... สวัสดีปีไก่ครับ... ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยได้โปรดอำนวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีสุขภาพใจที่พร้อมมูล และขอน้อมอัญเชิญพระราชปณิธานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ...มาเป็นข้อเตือนสติให้เราทุกคน อยู่บนครรลองที่ถูกต้อง สุดท้ายก็ขอให้ทุกท่านมีพลังและความสง่างามในระดับ "ไก่ชน" ไม่ใช่ไก่เลี้ยงทั่วๆ ไป นะครับ ^^ ... ปีนี้จะดีหรือไม่...ไม่ได้อยู่ที่ใครหรอกครับ นอกจากจะอยู่ที่ตัวเรากำหนดเอง เรื่องดีและเรื่องร้าย ต่างก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันจึงสำคัญที่...