Skip to main content

Post#4-134: Dress Code

Post#4-134:
ค่ำนี้ผมนีนัด Dinner สุดหรู ที่ Exclusive Club แห่งหนึ่ง กับผู้บริหารองค์กรระดับแสนล้าน พร้อมกับแขก VIP ชาวต่างชาติ

ทั้งที่รู้ล่วงหน้า แต่ผมก็ดันแต่งตัวออกจากบ้านมาด้วยความเคยชิน คือ look สบายๆ ค่อนไปทางกะโปโล

ถือเป็นความผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัยเอาเสียเลย...ค่าที่เผลอเรอจนไม่ทันนึกถึง Dress Code ของสถานที่

มานึกขึ้นได้ ก็ตอนที่เห็นป้ายที่หน้าลิฟต์ ก่อนที่จะขึ้นไปถึง Club เสียแล้ว

...

แน่นอนว่าด้วยบารมีของท่านผู้บริหารท่านนั้น...ผมเลยยังมีโอกาสเข้ามานั่งลอยหน้าร่วมโต๊ะ Dinner กับท่านได้

แต่ผมรู้สึกผิดในใจมากๆ เพราะต้องทำให้ท่านต้องมาใช้บารมีในทางไม่ชอบ...และรวมไปถึงผมก็แอบขายหน้า VIP ชาวต่างชาติด้วย

พลาดครั้งนี้...ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลย นอกจากต้องเอ่ยปากกราบขอโทษท่านฯ และแขก VIP ที่ผม "ชุ่ย" โดยไม่สมควร

...

บางคนอาจจะคิดว่า เรื่องการแต่งตัวผิด Dress Code นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก

แต่ผมกลับคิดว่า นี่เป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจไม่น้อยเลย เพราะถือเป็นการเคารพกติกาของสถานที่นั้นๆ รวมไปถึงเป็นการให้เกียรติท่านผู้ร่วมโต๊ะอาหาร

ที่สำคัญ คือต้องนึกถึงความรู้สึกของแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ ด้วย

พวกเค้าคงมิได้ลงทุนสร้าง Exclusive Club ราคาหลายร้อยล้าน ให้ใครก็ได้แต่งตัวกะโปโลมาเยือน และออกจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับท่านสมาชิกทั้งหลาย ที่รักษากฎ-กติกาของสถานที่ ในการแต่งตัวเต็มยศมา

ดังนั้น การแต่งตัวที่ไม่สมควรของผม จึงถือเป็น "ความผิด" ที่หนักหนาอยู่ไม่น้อย...สำหรับสังคมแห่งนี้

...

นี่จึงมิใช่เป็นการแสดงออกถึงการแบ่งชนชั้นทางสังคม แต่เป็นการแสดงออกถึงการเคารพกติกาของสังคมๆ หนึ่ง

ผมไม่อาจจะบอกว่า ผมก็แต่งตัวของผมอย่างนี้ทุกๆ วัน ดังนั้น ก็เลยจะมาโมเมเข้าข้างตัวเองว่า "ค่ำนี้" และ "ที่นี่" ก็คงจะเหมือนกัน

...เราจึงมิควรยึด "ปัจเจก" ของตัวเรา เป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน "ส่วนรวม" ของสังคมใดๆ สังคมหนึ่งครับ...

#กติกามีไว้ให้ทำตามไม่ใช่ละเว้น #ผิดในใจมากมาย #ทำไมพลาดเรื่องไม่ควรพลาด

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...