Skip to main content

Post#4-128: เข้าเมืองตาหลิ่ว

Post#4-128:
ความท้าทายหนึ่งที่ผมเผชิญอยู่ทุกเดือนก็คือ จะทำยังไงให้ลูกน้องชาวต่างชาติเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการให้พวกเค้าทำ

ที่ยากที่สุดก็คือ ผมพูดภาษาเค้าไม่ได้ และพวกเค้าต่างก็ไม่เข้าใจภาษาไทยเลย...เราจึงต้องสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่า ต่างฝ่ายต่างใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับ "ห่วย" ทั้งคู่

นอกจากความแตกต่างทางด้านภาษาแล้ว...ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่อง Working Cultural Style ที่ต้องปรับเข้าหากันอีกด้วย

ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็ประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้...และมักจะมีคำถาม classic ที่ถกเถียงกันมานานแล้วว่า ตกลงใครต้องปรับเข้าหาใครกันแน่?

...

ถ้าเข้าใจสำนวนที่ว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม" ล่ะก็...เราก็คงไม่ต้องมาถกเถียงกันให้มากความ

เรากำลังทำธุรกิจอยู่ประเทศไหน...ฝ่ายที่ต้องปรับตัว ก็ย่อมเป็นฝ่ายผู้มาเยือน โดยไม่ต้องสนใจว่า จะเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง

เพราะถ้าอยากเข้าไปหาเงินในประเทศเค้า แต่ยังทำตัวเหมือนอยู่ประเทศตัวเอง...เห็นทีว่าคงจะสำเร็จยากสักหน่อย

...

ฉะนั้นและฉะนี้...ใครที่คิดจะไปทำธุรกิจข้ามชาติ คงจำเป็นจะต้องประเมินให้ชัดเจน ว่าตัวเองจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับประเทศที่จะไปได้มั๊ย?

และสำคัญอย่างยิ่งที่จำเป็นจะต้องมี Local Partner ที่เข้มแข็งและไว้ใจได้...โดยเฉพาะกับประเทศในแถบ SEA ที่ Know Who สำคัญมากกว่า Know How

...หาไม่แล้ว "ธุรกิจข้ามชาติ" ที่อยากทำ จะกลายเป็น ข้ามจาก "ชาตินี้" ไป "ชาติหน้า" เสียล่ะมากกว่า...

#ThinkGlobalActLocal #ง่ายกว่าที่จะปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น #อย่าหวังให้คนอื่นปรับตัวเข้าหา #เก่งภาษายังไงก็ได้เปรียบ #โดยเฉพาะภาษาคน #อันหลังนี่ใช่เหรอ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...