Skip to main content

Post#4-122: ตะเกียบในชามซุปข้าวโพด

Post#4-122:
ระหว่างช้อน, ส้อม และตะเกียบ...ถ้าผมให้เลือกเพียงอย่างเดียว จะเลือกอะไรดีครับ?

ถ้านับคะแนน ผมคาดว่าคงจะมากกว่าครึ่งค่อน จะตอบว่าช้อน...เพราะดูมีความเอนกประสงค์กว่า ตักอาหารแห้งได้ หรืออาหารประเภทซุปก็ดี

ต่างจากส้อมหรือตะเกียบ ที่ดูจะต้องใช้กับอาหารเฉพาะอย่างมากกว่า และที่สำคัญน่าจะใช้กับอาหารแห้งเท่านั้น

แปลว่า เลือกช้อน ถูกต้องที่สุดแล้ว ใช่มั๊ยหนอ?

...

คราวนี้ เปลี่ยนคำถามใหม่ครับ ถ้าอาหารคือบะหมี่แห้งล่ะครับ จะเลือกใช้อะไรดีเอ่ย?

คำตอบก็ไม่น่าจะหลุดจาก ตะเกียบ, ส้อม และช้อน แน่ๆ

แล้วถ้าเปลี่ยนอาหารเป็นสปาเก็ตตี้ล่ะครับ?

เรียงลำดับ ก็คงจะเป็น ส้อม, ตะเกียบ และรั้งท้ายด้วยช้อน...แม้ว่าตะเกียบจะดูไม่เข้ากับสปาเก็ตตี้สักเท่าไหร่

เอาอีกที...ถ้าเปลี่ยนอาหารเป็นเกี๊ยวน้ำล่ะครับ คิดว่าคนจะเลือกช้อนเป็นอันดับหนึ่ง และสูสีกันระหว่าง ตะเกียบหรือส้อม มั๊ยครับ?

...

ในความเป็นจริงแล้ว...เราประเมินตัวเราเองถูกมั๊ยหนอ ว่าเราเป็นช้อน, ส้อม หรือตะเกียบ

และเราได้ประเมินรึเปล่า ว่างานที่เราสมัครไป, ทำอยู่ หรือกำลังจะลาออกน่ะ เป็นอาหารที่ถูกประเภทกับตัวเรามั๊ย?

ดังนั้น ก่อนจะประเมินตัวเราว่าด้อยค่าหรือกล้าแกร่ง จึงจำเป็นต้องประเมินภาวะแวดล้อมด้วยเช่นกัน

...

แม้เราจะเป็นช้อนทองคำ...ก็คงมิอาจแสดงคุณค่าได้ในชามบะหมี่แห้ง

ถึงเราจะเป็นตะเกียบงาช้าง ก็คงดูลักลั่น หากใครหยิบไปใส่ชามซุปข้าวโพด

หรือเราคิดว่ามันเหมาะสมแล้ว กับการใช้ส้อมฝังเพชรในการคนกาแฟ?

...

คุณค่าของเราจะเปล่งประกายได้ ก็ต่อเมื่อเราได้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม

และเราจึงต้องเป็นผู้ประเมินและผู้เลือกเอง ว่าจะย้ายจากชามบะหมี่ไปชามเกี๊ยวน้ำดี หรือจะไปจานข้าวผัดดีกว่า?

...เลือกเอาครับ ว่าอยากไปเป็นช้อน, ส้อม หรือตะเกียบ ที่วางประดับโต๊ะอาหาร หรืออยากไปเป็นช้อน, ส้อม หรือตะเกียบ ที่เจ้าของใช้ส่งอาหารเข้าปากกันดี?...

#ไม่ได้แสดงฝีมือก็ไร้ค่า #เวทีเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญกว่าได้แสดงหรือไม่ #คุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...