Post#4-120:
หนึ่งในประโยค classic ที่เรามักจะได้ยินในที่ประชุมก็คือ "เดี๋ยวนัดคุยรายละเอียดกัน"
หากเราเป็นคนพูดประโยคที่ว่า ลองถามตัวเองดูมั๊ยครับ ว่าได้มีโอกาสนัดคุยอย่างที่พูดไว้มั๊ยเอ่ย?
หรือถ้าเราเป็นอีกฝ่ายล่ะ หลังจากประชุมแล้ว ได้ติดตามฝ่ายที่พูด เพื่อที่จะนัดคุยต่อบ้างมั๊ย?
...
ประโยคที่ว่าข้างต้น จึงเป็นประโยคที่พูดแล้วดูดี ฟังแล้วก็ผ่อนคลาย...แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมพบว่า น้อยครั้งเหลือเกิน ที่จะมีการนัดคุยกันจริงๆ
คำว่า "เดี๋ยว" ของแต่ละคน อาจหมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนานไม่เท่ากัน...บางคนอาจจะหมายถึง หลังประชุมนัดคุยกันเลย แต่กับอีกหลายๆ คนนั้น "เดี๋ยว" อาจจะหมายถึง "ชาติหน้า" ก็เป็นได้
ดังนั้น ถ้าเรามีอันจะต้องเป็นประธานที่ประชุม...ก็ขอให้ฝ่ายที่จะต้องไป "คุยรายละเอียดกัน" ที่ว่าน่ะ กำหนดให้ชัดเจนต่อหน้าเราเลยครับ ว่าจะคุยกันที่วันไหน เวลาใด
แล้วก็บันทึกลงในรายงานการประชุม พร้อมกำหนดวันรายงานผลให้ชัดเจน...โดยต้องไม่ลืมสอบถามความคืบหน้าด้วย
...
ถึงตรงนี้ ถือเสียว่า อาจจะเป็นที่ผมคนเดียวที่โชคไม่ดีได้เจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ก็แล้วกันนะครับ...บางท่านอาจจะไม่เคยเจอเลยก็เป็นได้
แต่จากประสบการณ์ของผม...เมื่อใดก็ตามที่มีฝ่ายหนึ่งพูดว่า "เดี๋ยว"...เมื่อนั้น งานจะคืบหน้าไปได้ช้ามาก
เพราะเมื่อมีคำว่า "เดี๋ยวก่อน" ก็แปลว่า ฝ่ายที่พูดไม่ได้คิดว่างานนั้นด่วน หรือกำลังหมายถึงงานนั้น "รอได้"
ฝ่ายที่เดือดร้อนที่งานไม่คืบหน้านั้น จำเป็นจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนครับ...ไม่ใช่ใครบอกว่า "เดี๋ยวก่อน"...ก็รอไปแบบไม่อนาทรร้อนใจ
น่าเสียใจที่ส่วนใหญ่ที่ผมเจอนั้น มีแต่ฝ่ายที่บอกว่า "เดี๋ยวก่อน" กับฝ่ายที่พยักหน้ายอมรับ...แต่ไม่มีฝ่ายที่รู้สึกร้อนใจ
...
เคยได้ยินประโยคที่ว่า "Tomorrow never comes" มั๊ยครับ?
เพราะเมื่อพรุ่งนี้มาถึง มันก็กลายเป็นวันนี้ไปเสียแล้ว...พรุ่งนี้จึงมาไม่ถึงเสียที
ถ้ายึดจากการตีความประโยคแบบศรีธนญชัยแบบข้างต้นนี้...ก็แปลว่า "เดี๋ยวก่อน" ก็ไม่มีวันมาถึง
...
เคยกด snooze ที่นาฬิกาปลุกมั๊ยครับ?
ถ้าเคย...ถามว่า เราตื่นทันทีหลังจาก snooze แรก หรือกดต่อไปอีกหลาย snooze กันเอ่ย?
...เวลานั้น "ไหลไปเรื่อยๆ" โดยมีความเร็วคงที่...แล้วทำไมเราถึงเลือกจะ "ไหลไปเอื่อยๆ" ไม่ไหลเรื่อยๆ อย่างเวลาล่ะหนอ?...
#เดี๋ยวก่อนคือความพ่ายแพ้ #เดี๋ยวนี้ต่างหากคือโอกาสชนะ #snoozeแรกไม่เคยพอ #เดี๋ยวก่อนก็ไม่ต่างกัน
หนึ่งในประโยค classic ที่เรามักจะได้ยินในที่ประชุมก็คือ "เดี๋ยวนัดคุยรายละเอียดกัน"
หากเราเป็นคนพูดประโยคที่ว่า ลองถามตัวเองดูมั๊ยครับ ว่าได้มีโอกาสนัดคุยอย่างที่พูดไว้มั๊ยเอ่ย?
หรือถ้าเราเป็นอีกฝ่ายล่ะ หลังจากประชุมแล้ว ได้ติดตามฝ่ายที่พูด เพื่อที่จะนัดคุยต่อบ้างมั๊ย?
...
ประโยคที่ว่าข้างต้น จึงเป็นประโยคที่พูดแล้วดูดี ฟังแล้วก็ผ่อนคลาย...แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมพบว่า น้อยครั้งเหลือเกิน ที่จะมีการนัดคุยกันจริงๆ
คำว่า "เดี๋ยว" ของแต่ละคน อาจหมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนานไม่เท่ากัน...บางคนอาจจะหมายถึง หลังประชุมนัดคุยกันเลย แต่กับอีกหลายๆ คนนั้น "เดี๋ยว" อาจจะหมายถึง "ชาติหน้า" ก็เป็นได้
ดังนั้น ถ้าเรามีอันจะต้องเป็นประธานที่ประชุม...ก็ขอให้ฝ่ายที่จะต้องไป "คุยรายละเอียดกัน" ที่ว่าน่ะ กำหนดให้ชัดเจนต่อหน้าเราเลยครับ ว่าจะคุยกันที่วันไหน เวลาใด
แล้วก็บันทึกลงในรายงานการประชุม พร้อมกำหนดวันรายงานผลให้ชัดเจน...โดยต้องไม่ลืมสอบถามความคืบหน้าด้วย
...
ถึงตรงนี้ ถือเสียว่า อาจจะเป็นที่ผมคนเดียวที่โชคไม่ดีได้เจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ก็แล้วกันนะครับ...บางท่านอาจจะไม่เคยเจอเลยก็เป็นได้
แต่จากประสบการณ์ของผม...เมื่อใดก็ตามที่มีฝ่ายหนึ่งพูดว่า "เดี๋ยว"...เมื่อนั้น งานจะคืบหน้าไปได้ช้ามาก
เพราะเมื่อมีคำว่า "เดี๋ยวก่อน" ก็แปลว่า ฝ่ายที่พูดไม่ได้คิดว่างานนั้นด่วน หรือกำลังหมายถึงงานนั้น "รอได้"
ฝ่ายที่เดือดร้อนที่งานไม่คืบหน้านั้น จำเป็นจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนครับ...ไม่ใช่ใครบอกว่า "เดี๋ยวก่อน"...ก็รอไปแบบไม่อนาทรร้อนใจ
น่าเสียใจที่ส่วนใหญ่ที่ผมเจอนั้น มีแต่ฝ่ายที่บอกว่า "เดี๋ยวก่อน" กับฝ่ายที่พยักหน้ายอมรับ...แต่ไม่มีฝ่ายที่รู้สึกร้อนใจ
...
เคยได้ยินประโยคที่ว่า "Tomorrow never comes" มั๊ยครับ?
เพราะเมื่อพรุ่งนี้มาถึง มันก็กลายเป็นวันนี้ไปเสียแล้ว...พรุ่งนี้จึงมาไม่ถึงเสียที
ถ้ายึดจากการตีความประโยคแบบศรีธนญชัยแบบข้างต้นนี้...ก็แปลว่า "เดี๋ยวก่อน" ก็ไม่มีวันมาถึง
...
เคยกด snooze ที่นาฬิกาปลุกมั๊ยครับ?
ถ้าเคย...ถามว่า เราตื่นทันทีหลังจาก snooze แรก หรือกดต่อไปอีกหลาย snooze กันเอ่ย?
...เวลานั้น "ไหลไปเรื่อยๆ" โดยมีความเร็วคงที่...แล้วทำไมเราถึงเลือกจะ "ไหลไปเอื่อยๆ" ไม่ไหลเรื่อยๆ อย่างเวลาล่ะหนอ?...
#เดี๋ยวก่อนคือความพ่ายแพ้ #เดี๋ยวนี้ต่างหากคือโอกาสชนะ #snoozeแรกไม่เคยพอ #เดี๋ยวก่อนก็ไม่ต่างกัน
Comments
Post a Comment