Skip to main content

Post#4-129: โชว์พาวฯ เกินงาม

Post#4-129:
คืนวานนี้ ระหว่างเดินทางกลับจากต่างประเทศ...ผมพบประสบการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่

เรื่องของเรื่องก็คือ เจอผู้โดยสารชาวไทยที่ค่อนข้าง Talkative มากเป็นพิเศษ (สมมติว่าชื่อ "เจ๊จ้อ" ก็แล้วกันนะครับ)

ไม่รู้ว่าผมจะมีอคติมากไปรึเปล่า...แต่รู้สึกเหมือนกับว่า เธออยากจะแสดงให้โลกรู้ว่า เธอ "พูดภาษาอังกฤษ" ได้

เธอก็เลยพูดด้วยเสียงดังขนาดที่ได้ยินไปทั่วทุกที่นั่งที่อยู่รายรอบ

...

มิใยที่ผู้โดยสารรอบๆ หลายๆ คนหันไปมองเธออยู่บ่อยๆ ก็แล้ว...แต่ยิ่งมองก็ดูเหมือนว่า เสียงเธอจะดังขึ้นเรื่อยๆ

สังเกตุจากสีหน้า...ราวกับว่าเธอภูมิใจมาก ที่ใครต่อใครต่างก็หันมามอง และเธอคงคิดว่าผู้คนต่างชื่นชม skill ในการพูดภาษาอังกฤษของเธอ

ถึงตรงนี้ ผมจึงเริ่มมั่นใจว่า ผมคงไม่ได้อคติกับเธอมากจนเกินไป ด้วยเพราะผู้โดยสารท่านอื่นๆ ก็เริ่มแสดงอาการรำคาญเธอ เหมือนที่ผมรู้สึก

...

ผมเชื่อว่า คนไทยหลายสิบล้านคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี...แต่ไม่น่าจะมีมากคนที่ภูมิใจขนาดที่ต้องพูดด้วย decibel ที่ดังขนาดให้โลกรับรู้ ว่า "ข้าพูดภาษาอังกฤษได้ ข้าเจ๋ง" แบบนี้

จะว่าเจ๊จ้อหูตึงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคู่สนทนาของเธอก็พูดด้วยระดับเสียงที่ปกติ...มิได้แผดสุรสีหนาทแต่อย่างใด

โชคดีที่เป็น short-haul...ผมและผู้โดยสารท่านอื่น จึงไม่ต้องทนรำคาญกับเธอนานจนเกินไปนัก

...

เจตนาของผม ไม่ได้อยากจะนำเรื่องของเจ๊จ้อมานินทาหรอกนะครับ...ผมเพียงแต่อยากยกมาเป็นอุทาหรณ์ไว้เตือนตัวเองและคนอื่นๆ เท่านั้นเอง

ว่าการที่เราชื่นชมความเก่งของตัวเองจนเกินงาม หรือการที่เราภูมิใจกับการครอบครองอะไรบางอย่างแบบบ้าคลั่ง...มันก็ควรจะอยู่ในกรอบที่เหมาะที่สม

ไม่ใช่คิดอยากจะทำก็ทำ...แต่ควรคำนึงถึงผู้คนที่อยู่รายรอบด้วย

...

ตัวอย่างที่เราเห็นได้บ่อยๆ ก็เช่น...

พวกชอบเปิดเพลงในรถดังๆ แล้วเปิดหน้าต่างเผื่อแผ่ให้คนอื่นๆ...เป็นการอวดว่า เครื่องเสียงข้าเจ๋ง

พวกชอบแต่งท่อไอเสีย แล้วก็เร่งเครื่องให้คนมอง...เป็นการอวดว่า เครื่องยนตร์ข้าแรง

พวกเสียบหูฟังแล้วก็เร่งเสียงดังจนทะลุหูฟังออกมา...เป็นการอวดว่า หูฟังข้าเทพ

รวมไปถึง "เจ๊จ้อ" ที่พูดภาษาอังกฤษด้วยเสียงดังแบบไม่เกรงใจใคร และหัวเราะเสียงดังมากกับมุขตลกธรรมดา...เพียงเพื่อจะโชว์ว่า ข้ารู้ภาษาอังกฤษ

...

คงไม่มีใครว่า ถ้าจะชื่นชมข้าวของหรือภูมิใจในตัวเอง ในระดับที่ไม่รบกวนใครๆ...

แต่ถ้าใครเป็นดังตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นแล้วล่ะก็...เห็นทีว่าคงจะต้องพิจารณาตัวเองเสียใหม่ ก่อนที่จะไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ๆ

...ว่าแต่ เรามัวแต่จะไปว่า "เจ๊จ้อ" กับพวก ก็คงไม่เข้าที...เราคงต้องสำรวจตัวเองเช่นกันครับ ว่าที่ผ่านมา เราเผลอไร้สติโชว์พาวฯ เกินงาม จนเป็นที่รำคาญของผู้คนรอบข้างบ้างมั๊ยหนอ?...

#ทำไมต้องโชว์ว่าข้าเจ๋งแบบไร้สติ #มีคนชื่นชมถือเป็นเรื่องดี #แต่ชื่นชมตัวเองเกินงามเรียกว่าอะไรดี

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...