Skip to main content

Post#4-124: กระแสเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

Post#4-124:
ไม่รู้ผมรู้สึกไปคนเดียวรึเปล่า...เพราะเราผ่านสัปดาห์แรกของปีใหม่ไปแล้ว โดยยังไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเลย

อาจเป็นเพราะความขี้เกียจยังจับตามเนื้อตัวและไขข้อรึเปล่าหนอ...ถึงทำให้จะขยับตัวทำอะไรก็ดูเก้ๆ กังๆ ไปเสียทุกอย่าง

ขณะที่เรายังคงเคลื่อนตัวได้เชื่องช้า...เวลากลับทำหน้าที่ของมันอย่างขยันขันแข็ง และไม่เคยหยุดรอใครหน้าไหนแม้สักเสี้ยววินาทีที่ผีเสื้อขยับปีก

...

คงเป็นเพราะ...เราไม่เคยมองเห็นกระแสเวลา เหมือนที่เรามองเห็นกระแสน้ำ

คงเป็นเพราะ...เราไม่เคยสัมผัสกระแสเวลา เหมือนที่เราสัมผัสกับกระแสลม

นั่นจึงทำให้เราไม่ค่อยยี่หระกับกระแสเวลา...ที่ไหลผ่านตัวเราไป

...

ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ว่าเรามีเวลาเท่ากันทุกคนในแต่ละวัน ที่ 86,400 วินาที

และไม่ว่าเราจะใช้เวลาอย่างไรก็ตาม ทั้ง 86,400 วินาทีนี้ ก็จะกลายเป็น "0" ในทุกๆ สิ้นวัน...เก็บออมไม่ได้ และใช้เกินก็ไม่ได้

แต่โชคยังดี ที่แม้ทุกคนจะมี 86,400 วินาทีเท่าๆ กัน...หากแต่รับรองได้ว่า เราต่างจะรู้สึกถึงความยาวนานของแต่ละวินาทีไม่เท่ากัน

...

ว่ากันว่า เวลาแห่งความสุขนั้นไหลเร็ว ส่วนเวลาแห่งความทุกข์นั้นไหลช้า...

คงจะเหมือนกับทฤษฎีสัมพัทธภาพของ Albert Einstein ที่ว่าไว้ว่า "Put your hand on a hot stove for a minute, and it seems like an hour. Sit with a pretty girl for an hour, and it seems like a minute."

แปลว่า "วางมือลงบนเตาร้อนๆ เพียงหนึ่งนาที กลับยาวนานเหมือนหนึ่งชั่วโมง หากแต่นั่งคุยกับสาวสวยถึงหนึ่งชั่วโมง กลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งนาที"

แต่จงอย่ากลัวไปเลยครับ ว่าเวลาแห่งความสุขจะหมดไปเร็ว...เพราะมันไหลเร็วจนเกินไปอย่างที่ Einstein เปรียบเปรยไว้

...เพราะตราบใดหัวใจของเราไม่เคยไร้สุข ตราบนั้นเวลาแห่งความสุขก็จะดูเหมือนคงอยู่นิจนิรันดร์...

#เวลาโลกต่างจากเวลาใจ #หนึ่งนาทีของเราอาจไม่เท่ากัน #เลือกเองว่าจะสุขหนึ่งนาทีหรือจะทุกข์หนึ่งชั่วโมง #วางก่อนก็สุขก่อน

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...