Post#4-138:
ให้บังเอิญผมไปเปิดเจอ Music Video สมัยที่ตัวผมเองยังเป็นละอ่อนเข้าให้ใน Youtube ^^
แน่นอนว่าเพลงก็ยังเพราะเหมือนเดิม...แต่ดูไปผมก็ขำไป ว่าทำไมสมัยนู้นแต่งตัวกันแบบนี้ ทำไมทำผมทรงนั้น ทำไมแต่งหน้ากันได้ฮาจัง
แต่ทำไมในตอนนั้น เราถึงรู้สึกว่าแต่งตัวแบบนี้แหละดีแล้ว, ผมทรงนี้นี่แหละ ล้ำสุด และแต่งหน้าแบบนี้ช่างงามแท้
...
มาสมัยนี้ ที่ผมตั้งคำถามกับเพลงบางเพลง หรือดนตรีบางแนวที่วัยรุ่นสมัยนี้ชอบฟัง...ว่า "นี่เรียกว่า "เพลง" เหรอ?"
และยอมรับว่า ปวดหัวไม่น้อย กับ Style การแต่งตัว หรือ Fashion บางอย่าง ของบรรดาคนวัยหนุ่มสาวสมัยนี้
แต่กับเพลงหรือการแต่งตัวที่ผมภูมิใจหนักหนาน่ะ...คนรุ่นพ่อกับแม่ของผม ก็เคยพูดกับผมเช่นกันว่า "ฟังอะไรน่ะ ไม่เห็นจะได้เรื่อง" หรือ "แต่งตัวให้มันดีๆ หน่อยได้มั๊ย?"
นี่สินะ...ที่เราเรียกว่า "ช่องว่างระหว่างวัย"
...
ดังนั้น ใครที่มี "ความร่วมสมัย" มากๆ (ภาษาอังกฤษ เรียกว่า "Contemporary) จึงน่าจะเข้าใจคนที่อายุต่างจากตัวเรา ได้ดีกระมัง?
น่าเสียใจที่คนแบบนี้มีไม่มาก เราจึงเห็นปัญหาความไม่เข้าใจกันของคนต่างอายุอยู่ไม่น้อย
แต่น่าดีใจครับ ที่ "ความร่วมสมัย" เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ ^^
...
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรามี skill นี้ อยู่ในตัว ก็คือต้องมีความเข้าใจในความแตกต่าง
เคยได้ยินคำว่า "แตกต่างแต่ไม่แตกแยก" มั๊ยล่ะครับ?
หมายความว่า เราไม่จำเป็นจะต้องคิดเหมือนกัน, ไม่จำเป็นต้องทำตามคนอื่น และไม่จำเป็นที่จะต้องบังคับหรือเคี่ยวเข็ญให้คนอื่นทำตามเรา
เราเข้าใจว่า ทุกคนต่างกัน และยิ่งต่างวัยก็ต่างความคิดและรสนิยม...ถ้าชอบเหมือนกันทุกอย่าง ป่านนี้โลกเราคงมีดนตรีแค่แนวเดียว และคงแต่งตัวด้วย uniform กันไปหมดแล้ว...น่าเบื่อตายเลย
...
ความเห็นที่แตกต่าง จึงนับเป็นหนึ่งในพลวัตรที่ใช้ขับเคลื่อนโลก...
เราจึงมีขาเดฟ, ขากระบอก, ขาระฆัง และอีกสารพัดแบบ...ไว้ใส่
เราจึงมี Alternative, Folk, Pop, Techno, Rock และแม้กระทั่ง Metal...ไว้เสพ
แล้วแต่ช่วงอายุ แล้วแต่ช่วงเวลา...ฮิตจนเลิก แล้วก็กลับมาฮิตใหม่ เป็นวัฏจักรวนเวียนไปเช่นนั้น...เราก็แต่งกันไป เสพดนตรีกันไป สนุกดีออก ^^
แล้วก็คงไม่มีใครหวงห้ามหรอกครับ ถ้าคนเราจะเอา "ความร่วมสมัย" หรือ "ความเข้าใจในความต่าง" นี้...ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ ทั้งการเมือง, เศรษฐกิจ, วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งศาสนา
...สังเกตดูให้ดีครับ ว่ามันไม่มีอะไรที่ถาวรเลย...นี่สินะ เค้าถึงเรียก "ความร่วมสมัย" ว่า Con"temporary"...
#มิน่าแก่แล้วถึงชอบแต่งตัวกระชากวัย #แต่ดนตรีบางแนวฟังทีไรปวดหัวทุกที #ไม่ชอบก็ทำใจร่มๆ #ชอบก็jamกับเค้าไป #ฮิตไม่นานเดี๋ยวก็ไป #จะอะไรกันหนักหนา #สาบานว่าไม่ได้เสียดสีเรื่องอื่นเลย #จิงจริ๊ง
ให้บังเอิญผมไปเปิดเจอ Music Video สมัยที่ตัวผมเองยังเป็นละอ่อนเข้าให้ใน Youtube ^^
แน่นอนว่าเพลงก็ยังเพราะเหมือนเดิม...แต่ดูไปผมก็ขำไป ว่าทำไมสมัยนู้นแต่งตัวกันแบบนี้ ทำไมทำผมทรงนั้น ทำไมแต่งหน้ากันได้ฮาจัง
แต่ทำไมในตอนนั้น เราถึงรู้สึกว่าแต่งตัวแบบนี้แหละดีแล้ว, ผมทรงนี้นี่แหละ ล้ำสุด และแต่งหน้าแบบนี้ช่างงามแท้
...
มาสมัยนี้ ที่ผมตั้งคำถามกับเพลงบางเพลง หรือดนตรีบางแนวที่วัยรุ่นสมัยนี้ชอบฟัง...ว่า "นี่เรียกว่า "เพลง" เหรอ?"
และยอมรับว่า ปวดหัวไม่น้อย กับ Style การแต่งตัว หรือ Fashion บางอย่าง ของบรรดาคนวัยหนุ่มสาวสมัยนี้
แต่กับเพลงหรือการแต่งตัวที่ผมภูมิใจหนักหนาน่ะ...คนรุ่นพ่อกับแม่ของผม ก็เคยพูดกับผมเช่นกันว่า "ฟังอะไรน่ะ ไม่เห็นจะได้เรื่อง" หรือ "แต่งตัวให้มันดีๆ หน่อยได้มั๊ย?"
นี่สินะ...ที่เราเรียกว่า "ช่องว่างระหว่างวัย"
...
ดังนั้น ใครที่มี "ความร่วมสมัย" มากๆ (ภาษาอังกฤษ เรียกว่า "Contemporary) จึงน่าจะเข้าใจคนที่อายุต่างจากตัวเรา ได้ดีกระมัง?
น่าเสียใจที่คนแบบนี้มีไม่มาก เราจึงเห็นปัญหาความไม่เข้าใจกันของคนต่างอายุอยู่ไม่น้อย
แต่น่าดีใจครับ ที่ "ความร่วมสมัย" เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ ^^
...
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรามี skill นี้ อยู่ในตัว ก็คือต้องมีความเข้าใจในความแตกต่าง
เคยได้ยินคำว่า "แตกต่างแต่ไม่แตกแยก" มั๊ยล่ะครับ?
หมายความว่า เราไม่จำเป็นจะต้องคิดเหมือนกัน, ไม่จำเป็นต้องทำตามคนอื่น และไม่จำเป็นที่จะต้องบังคับหรือเคี่ยวเข็ญให้คนอื่นทำตามเรา
เราเข้าใจว่า ทุกคนต่างกัน และยิ่งต่างวัยก็ต่างความคิดและรสนิยม...ถ้าชอบเหมือนกันทุกอย่าง ป่านนี้โลกเราคงมีดนตรีแค่แนวเดียว และคงแต่งตัวด้วย uniform กันไปหมดแล้ว...น่าเบื่อตายเลย
...
ความเห็นที่แตกต่าง จึงนับเป็นหนึ่งในพลวัตรที่ใช้ขับเคลื่อนโลก...
เราจึงมีขาเดฟ, ขากระบอก, ขาระฆัง และอีกสารพัดแบบ...ไว้ใส่
เราจึงมี Alternative, Folk, Pop, Techno, Rock และแม้กระทั่ง Metal...ไว้เสพ
แล้วแต่ช่วงอายุ แล้วแต่ช่วงเวลา...ฮิตจนเลิก แล้วก็กลับมาฮิตใหม่ เป็นวัฏจักรวนเวียนไปเช่นนั้น...เราก็แต่งกันไป เสพดนตรีกันไป สนุกดีออก ^^
แล้วก็คงไม่มีใครหวงห้ามหรอกครับ ถ้าคนเราจะเอา "ความร่วมสมัย" หรือ "ความเข้าใจในความต่าง" นี้...ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ ทั้งการเมือง, เศรษฐกิจ, วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งศาสนา
...สังเกตดูให้ดีครับ ว่ามันไม่มีอะไรที่ถาวรเลย...นี่สินะ เค้าถึงเรียก "ความร่วมสมัย" ว่า Con"temporary"...
#มิน่าแก่แล้วถึงชอบแต่งตัวกระชากวัย #แต่ดนตรีบางแนวฟังทีไรปวดหัวทุกที #ไม่ชอบก็ทำใจร่มๆ #ชอบก็jamกับเค้าไป #ฮิตไม่นานเดี๋ยวก็ไป #จะอะไรกันหนักหนา #สาบานว่าไม่ได้เสียดสีเรื่องอื่นเลย #จิงจริ๊ง
Comments
Post a Comment