Skip to main content

Post#4-145: ยิ้มสยาม...ที่จางไป

Post#4-145:
ผมพึ่งกลับจากการไปทำงานที่กรุงย่างกุ้ง อันเป็นเสมือนบ้านที่สองของผม เมื่อครู่นี้เองครับ

ไปคราวนี้ พิเศษหน่อยตรงที่ผมมีโอกาสได้ไปออก Event ร่วมกับทีมงาน ใน Shopping Mall แห่งหนึ่ง

ความสนุกของผมอยู่ที่การเฝ้ามองทีมงานที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า...และไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ดูเหมือนทั้งคนซื้อและคนขาย จะยังติด "ขี้อาย" อยู่ไม่น้อย

...

เท่าที่คลุกคลีกับชาวเมียนมาร์มากว่า 5-6 ปี มานี้...ผมก็ยังคงรู้สึกว่า พวกเค้าเหมือนคนไทยเมื่อสัก 30 ปีก่อน

มีความเป็นมิตร, ยิ้มง่าย และติดจะขี้อาย...โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติ พวกเค้าจะยิ่งเขินเป็นพิเศษ

แรกๆ ผมก็คิดว่า อาจจะด้วยเพราะข้อจำกัดในด้านการสื่อสารเป็นเหตุ...แต่หลังๆ มา ผมคิดว่า น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติของพวกเค้าเสียมากกว่า

ถ้านึกภาพไม่ออก ลองนึกภาพเราพูดคุยกับชาวชนบทไกลๆ ในบ้านเราก็ได้ครับ...อารมณ์พูดน้อยๆ, ไม่สบตา แต่แฝงความเป็นมิตรอยู่ในที

...

งานที่ผมมาช่วยทีมงาน เป็นงานประมาณ Photo Contest

เราช่วยกันจัด prop สำหรับให้ลูกค้ามาถ่ายภาพ แล้วก็ post เพื่อหาว่า ใครจะได้ like มากกว่า

งานลักษณะนี้...บ้านเราถือว่า out ไปนานแล้ว...แต่ที่นี่ ถือว่ายังใหม่มาก และจัดได้แค่ในกรุงย่างกุ้งเท่านั้น เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมืองนี้ เปิดรับอะไรใหม่ๆ มากกว่าเมืองอื่น

นึกภาพออกมั๊ยครับ ว่าผู้คนที่นี่จะโพสต์ท่ากันประมาณไหน?

เอาเป็นว่า นิ่ง, ยิ้มน้อยๆ มากสุดก็แค่เอียงคอ...แค่นั้นจริงๆ ^^

ผมเลยสนุกกับการไปกระตุ้นให้ลูกค้าและทีมงานได้ทดลองทำท่าแปลกๆ ดูบ้าง...ก็เลยเฮฮากันยกใหญ่ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าโพสต์ตามสักคน

...

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบในตัวชาวเมียนมาร์ในกรุงย่างกุ้ง ก็คือ ถ้าพวกเค้า "ยิ้ม" นั่นหมายถึงข้างในเค้าก็ "ยิ้ม" ด้วยเช่นกัน

นั่นอาจจะเป็นสัญญาณเตือนพวกเราที่เมืองไทย ว่าสมญานาม "Land of Smile" ที่พวกเราชาวไทยภูมิใจ อาจจะกำลังสั่นคลอน

ผมอาจจะอคติไปบ้าง...แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่า คนไทยยิ้มให้กันน้อยลงมาก

เรียกว่า "ยิ้มสยาม" กำลังจะจางหายไป คงประมาณนั้น กระมังครับ?

และยิ่งไม่แน่ใจว่า เรายังยิ้มให้กับชาวต่างชาติ เพราะอัธยาศัยไมตรีที่เรามี หรือเพราะเหตุผลอื่น?

...

ทั้งนี้และทั้งนั้น ผมก็ยังเชื่อว่า การที่เราจะมี "ยิ้มสยาม" ที่งดงามเหมือนในอดีตได้นั้น คงต้องเริ่มจากวิธีคิดของตัวเราก่อน

ถ้าเรายิ้มมาจากข้างใน...คนที่มองเห็นรอยยิ้มนั้น น่าจะสัมผัสได้ถึงน้ำใสใจจริงจากข้างในของเราได้ไม่ยาก

...คราวหน้าที่เจอใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิด, เพื่อนร่วมงาน หรือชาวต่างชาติ ก็ตาม...เราก็แจก "ยิ้มสยาม" ให้เค้าก่อน ดีมั๊ยครับ?...

#อยากให้รอยยิ้มสยามบานสะพรั่ง #ยิ้มจากใจใครก็หลงรัก #ยิ้มละลายช่องว่างระหว่างกันได้ #LandOfSmile

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...