Skip to main content

Post#4-207: รอคอย

Post#4-207:
ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ต่างก็ไม่ชอบการรอคอย...ไม่ว่าจะเป็นการรอคอยที่สร้างสรรค์หรือการรอคอยที่ไม่สร้างสรรค์ ก็ตาม

แต่ความจริงก็คือ ไม่ค่อยจะมีอะไรที่เราสมหวังได้ดังใจแบบทันที

คนเราจึงมักมีชีวิตอยู่คู่กับการต้องรู้จัก "การรอคอย"

บางคนอาจจะกำลังสงสัยว่า การรอคอยมีแบบสร้างสรรค์กับไม่สร้างสรรค์ด้วยหรือ?

แล้วมันแตกต่างกันอย่างไรหนอ?

งั้นลองถามตัวเองดูดีมั๊ยครับ การรอคอยแบบไหนที่เรียกว่า "สร้างสรรค์" แล้วแบบไหนเรียกว่า "ไม่สร้างสรรค์"

ผมให้เวลาค่อยๆ คิด 10 นาที เลยครับ

...

การรอคอยใดๆนั้น จะสร้างสรรค์หรือไม่...ผมว่ามันเกี่ยวพันอย่างแน่นแฟ้นกับความรู้สึก

ถ้ามันเป็น "ความหวัง" ที่เรามีต่ออะไรสักอย่าง...นั่นย่อมผลักดันให้เราอยากลืมตาตื่นในวันรุ่งพรุ่งนี้

แต่ถ้ามันเป็นแค่ "การรอคอยอย่างไร้จุดหมาย"...นั่นย่อมทำให้ใจเราดุจกำลังโดนเผาไหม้อยู่

เพราะรู้ว่าเรามีหวัง...การรอคอยนั้นจึงยังมีคุณค่า และเพราะไม่รู้ว่าเราจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ เราจึงรอคอยอะไรก็ตามด้วยความทุกข์ทรมาน

...

ถ้าเชื่ออย่างที่ผมว่ามา...หากเราต้องการให้การรอคอยนั้น เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เราจึงจำต้องเรียนรู้อยู่ 2 เรื่อง

หนึ่ง...ต้องรู้จักกำหนด "เป้าหมาย" ให้กับทุกการรอคอย

เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้ว...เราจะชัดเจนว่า เรากำลังรอคอยอะไร แล้วจากนั้น เราจึงจะพอจะประเมินได้ว่า เราจะมีโอกาสทำความหวังนั้น ให้เป็นจริงได้มั๊ย?

และสอง...ต้องกำหนด "ระยะเวลา" ให้กับทุกการรอคอย

อย่าลืมนะครับ ว่าถ้ามัวแต่รอคอยโดยไม่ลงมือ เป้าหมายก็จะไม่มีวันเป็นจริงไปได้...ดังนั้น หนทางที่จะทำให้การรอคอยสิ้นสุดลงโดยเร็ว ก็จึงมีแต่ "การลงมือทำ" เท่านั้น

และแม้ว่าบ่อยครั้ง ที่เราอาจจะคิดสะระตะอย่างถ้วนถี่แล้ว ก็ยังมองไปเห็นหนทางสู่เป้าหมาย...

จนสุดท้าย เรามีแต่ "ปาฏิหาริย์" เป็นที่พึ่ง...เราก็ยิ่งต้องกำหนดระยะเวลาให้กับ "ปาฏิหาริย์" เช่นกัน

...การรอคอยของเราจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ กระตุ้นให้เราอยากมีชีวิต หรือการรอคอยนั้น จะกลายเป็นการบั่นทอนชีวิตที่เรามี...ก็ล้วนอยู่ที่เราทั้งสิ้นครับ...

#NoteToSelf
- บางเรื่องเป้าหมายก็อยู่แค่รอคอยอย่างเงียบๆ ก็มีความสุข
- และเรื่องบางเรื่อง เราก็อาจต้องให้เวลากับเวลาบ้าง
- บางครั้ง เราก็จำต้องลงมือเพื่อให้การรอคอยสิ้นสุด
- ขณะที่รอคอย จงถามตัวเองดูว่า อีก 5 ปีข้างหน้า การรอคอยนี้ ยังจะทำให้เรามีความสุขอยู่ใช่มั๊ย?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...