Post#4-232:
ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผมไปอัดรายการ TV มาครับ ^^
จะเหลือเชื่อไปมั๊ยครับ...ถ้าจะบอกว่า ผมไปในฐานะเป็น "แขกรับเชิญ" ในรายการเกี่ยวกับสุขภาพ
ที่ได้รับเชิญน่ะ...ไม่มีอะไรมากไปกว่า ผมเป็นเพื่อนกับคุณหมอผู้ดำเนินรายการ และเธอเห็นว่า case ของผม น่าจะสะท้อนภาพ "คนเมือง" ได้ในระดับหนึ่ง
...
ถ้ายังพอจำได้...ผมเคยเล่าถึง "ดุลยภาพบำบัด" ไปแล้ว 2 ครั้ง (Post#4-205 และ Post#4-216)
โดยสรุปแล้ว "ดุลยภาพบำบัด" นั้นเน้นการใช้ชีวิตอย่างสมดุลย์ตามชื่อนั่นล่ะครับ และเน้นในการรักษาเชิงป้องปรามควบคู่ไปกับการเยียวยาตามแบบแผนของแพทย์ทางเลือก
เราสามารถสรุปศาสตร์แห่งดุลยภาพบำบัด (หรือ "Equilibropathy") ได้เป็น 7 ข้อ คือ
1.Education: ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจโรค
2.Equilibrium: ต้องใช้ชีวิตให้สมดุลย์ ไม่สุดโต่งหรือหย่อนยาน
3.Exercise: บริหารจิตและกายให้สมดุลย์กันเป็นประจำ เริ่มต้นด้วย BREATHING EXCERCISE
4.Eat: กินอะไร เราก็เป็นแบบนั้นนะ
5.Excretion: ดูแลระบบขับถ่ายของเสีย จากตา หู จมูก ปาก ไต ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และจากผิวหนัง
6.Emotion: ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง
7.Environment: เราอยู่ในที่ที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งดีๆ ใช่มั๊ย?
...
คราวนี้ ลองมาไล่เรียงชีวิตคนเมืองกันดูครับ...
ถามว่าหลังจากได้รับความรู้ (Education) เกี่ยวกับแนวทางของดุลยภาพบำบัดแล้ว...เราเข้าใจมั๊ย?
ตอบได้เลยครับ ว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นตรรกะที่ไม่ยากในการทำความเข้าใจ...ปัญหาสำคัญ จึงอยู่แค่ รู้แล้ว หรือเข้าใจแล้ว...หากแต่จะ "ทำตามหรือไม่" มากกว่า
แปลว่า ถ้าเข้าใจแต่ไม่ลงมือ ก็เปล่าประโยชน์!
เมื่อไม่ลงมือ คนเมืองก็ทำแต่งานเป็นบ้าเป็นหลัง ทำให้ชีวิตขาดความสมดุลย์ (Equilibrium)
เมื่องานมันยุ่งมากเข้า กว่าจะเสร็จงานก็เหนื่อย อยากแต่จะพักผ่อน...จึงทำให้เราย่อหย่อนในการออกกำลังกาย (Excercise)
ยิ่งกว่านั้น ก็เพราะการงานที่ยุ่งเหยิง...จึงทำให้บ่อยครั้งคนเมือง เน้นไปที่ "กินเพื่ออิ่ม" ไม่เน้น "กินเพื่อร่างกาย" นั่นแปลว่า ทั้งมื้อเช้าก็ skip, มื้อเที่ยงก็ junk food และตบท้ายด้วยกินมื้อเย็นแบบไม่บันยะบันยัง แถมกินเสร็จก็นอน
เมื่ออาหารที่กินเข้าไปมันห่วย...มีหรือที่ระบบย่อยอาหารและขับถ่าย (Excretion) จะดีไปได้
และเมื่อห่วยทั้งอาหารทั้งการขับถ่าย...มันจึงทำให้อารมณ์ของเราขุ่มมัวตลอดเวลา
พอถึงวันหยุด...ก็ปรนเปรอตัวเองในทางที่ผิดทุกอย่าง ทั้งการนอนดึกตื่นสาย, กินอาหารขยะ, เที่ยวหัวราน้ำ, ฯลฯ
แล้วก็ซ้ำวัฏจักรแบบนี้ วนไปครับ...กลายเป็นวงจรอุบาทว์ ที่ทำให้สภาพแวดล้อมของเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง (Environment)
...
ที่ผมแชร์ให้ฟัง จึงถือเป็นวงจรชีวิตของคนเมืองที่เลวร้าย แต่หลายๆ คนก็ไม่คิดจะเปลี่ยน...แม้จะรู้ว่า มันไม่ดีกับตัวเอง เลยก็ตาม
คุณหมอลัดดาวัลย์ (แพทย์ผู้พัฒนาศาสตร์ของ "Equilibropathy") ท่านจึงเคยเตือนสติคนไข้ทั้งหลายไว้ว่า "หมอรักษาได้ทุกโรค ยกเว้นโรคขี้เกียจ"
...สุขภาพที่ดีจึงไม่มีขาย...อยากได้จึงต้องทำเอง ครับ...
#NoteToSelf
- อยากมีชีวิตที่ยืนยาว เริ่มจากวิธีคิดและวินัยในการใช้ชีวิต
- หลักของ Equilibropathy ไม่ได้ยากต่อการเข้าใจ...แต่ยากที่จะบังคับใจให้ปฏิบัติได้ครบถ้วน
- ป้องปรามได้ผลกว่าแก้ไข เหมือนเข้มงวดกับการป้องกันไฟไหม้ ดีกว่าต้องมาดับไฟ นั่นเอง
Comments
Post a Comment