Skip to main content

Post#4-234: ความน่าจะเป็น vs ความมั่นใจ

Post#4-234:
เวลาที่เรามี "ความมั่นใจ" อะไรมากๆ...เราก็มักจะละเลยถึงเรื่อง "ความน่าจะเป็น" ไปเสียหมด

เพราะเมื่อเรามั่นใจ...เราก็จะไม่ค่อยจะเผื่อใจให้กับคำตอบอื่นๆ...เรียกง่ายๆ ว่า เรา "ฟันธง" เลือกคำตอบไปแล้ว นั่นแหละ

การที่เราจะมั่นใจได้นั้น...ผมคิดว่า น่าจะเกิดจากสาเหตุได้ 2 ข้อ

ลองคิดดูก่อนมั้ยครับ...บางทีอาจจะมีมากกว่า 2 ข้อ ก็เป็นได้?

(นั่นแน่...ผมเองก็ไม่มั่นใจ ซึ่งก็แสดงว่า ผมเพียงแต่คิดว่า มันมีความน่าจะเป็น เท่านั้น)

...

พอจะคิดออกกันบ้างมั๊ยครับ?

สำหรับความเห็นของผม...ถ้าเราจะมั่นใจมากๆ ได้ มักจะเกิดจาก...

หนึ่ง...เรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เยอะมาก...เยอะจนข้อมูลทุกอย่างถูกนำมาประมวลผลกลายเป็น "คำตอบ" ที่เป็นข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งเดียว

และสอง...จู่ๆ เราก็มั่นใจกับคำตอบนั้น โดยไม่ทราบสาเหตุ...คล้ายๆ เป็น "ญาณหยั่งรู้" ที่อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้

ถ้ามีใครได้คำตอบมากกว่า 2 ข้อนี้...ก็แบ่งปันกับท่านอื่นๆ ได้นะครับ

...

คราวนี้ ประเด็นมันก็อยู่ที่ว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ...ว่าข้อมูลที่เรานำมาประมวลผลน่ะ "ถูกต้อง", "ครบถ้วน" และ "เป็นปัจจุบัน"?

คำตอบใดๆ อาจจะถูกต้องในช่วงเวลาหนึ่ง...แต่อาจจะเป็นคำตอบที่ผิด เมื่อเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นได้

แล้วก็คราวนี้ ประเด็นมันก็อยู่ที่ว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ...ว่าความมั่นใจที่จู่ๆ ก็แว่บเข้ามาในสมองของเรานั้น เป็น "ญาณหยั่งรู้" หรือว่าจริงๆ แล้ว มันเป็นแค่ "การทึกทักเอาเอง"

ไม่งงใช่มั้ยครับ?

...

บางเรื่องบางอย่าง จึงมีแต่ "ความน่าจะเป็น" ที่อาจจะต่อยอดแตกแขนงจากความคิดเดิมไปได้อย่างไม่สิ้นสุด

ดังนั้น เหตุแห่งความมั่นใจของเรา จึงอาจจะเกิดจากการประมวลผลจากคำตอบต่างๆ ที่เราคิดว่า เป็นคำตอบที่มีความน่าจะเป็นมากที่สุด...ก็เป็นได้

เราจึงควรจะเผื่อใจไว้สำหรับคำตอบที่อาจจะมีความน่าจะเป็นน้อยไว้บ้าง...เพราะไม่น่าจะมีอะไรที่เป็น 100% อย่างสัมบูรณ์ (No Absolute Confidence)

...จริงแท้หนอ...ความไม่แน่นอนนั้นเอง ที่แน่นอน...

#NoteToSelf: 

  • มั่นใจได้...แต่ต้องเผื่อใจไว้ด้วย
  • แม้ว่าจะทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจแล้ว...ก็อย่านึกว่า จะจบลงด้วยความสำเร็จทุกครั้ง
  • ความน่าจะเป็นของตัวเรา ที่ "ชาติหน้า" จะมาถึงก่อน "พรุ่งนี้"...เป็นเท่าไหร่กันหนอ?
  • นั่นไงล่ะ..."ความไม่แน่นอน" นั่นล่ะ...ที่ "แน่นอน"

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...