Skip to main content

Post#4-222: "ชีวิตคู่" ของ "คู่ชีวิต"

Post#4-222:
ผมแต่งงานมากว่า 13 ปี...จึงพอพูดได้ว่า ได้ผ่านประสบการณ์ของชีวิตคู่มาแล้วแบบครบรส...ไม่ว่าจะหวาน, จะขม, จะแซ่บ, จะเปรี้ยว หรือจะเฝื่อนฝาด ก็ตาม

เพราะไม่มีทางเลย ที่ทุกๆ วันจะเป็นวันที่ดีของชีวิตคู่ไปได้...วันชื่นคืนร้ายมันก็เกิดและดับของมันอยู่อย่างนั้น เป็นวัฏจักรอันจีรังเหลือเกิน

แต่แม้จะมีชีวิตคู่มายาวนานไม่น้อย...ผมก็ยังไม่อาจบอกได้ว่า อะไรคือ "เคล็ดลับ" ในการที่จะใช้ "ชีวิตคู่" อยู่กับ "คู่ชีวิต"

...

ผมเคยถามคู่สามี-ภรรยา หลายๆ คู่ ที่อยู่ด้วยกันมายาวนานกว่า 30-40 ปี...ว่าอะไรคือสิ่งที่ผูกใจคนสองคนให้อยู่ด้วยกันได้นานขนาดนี้?

คำตอบที่ได้มีหลากหลายครับ...

บางคู่บอกผมว่า ที่อยู่ด้วยกันมานาน มันมากกว่าความรัก เกินกว่าความผูกพัน (ไม่ใช่ชื่อเพลงนะครับ ^^)...แต่มันเป็นความรู้สึกประมาณว่า ไม่รู้จะอยู่ต่อไปยังไง ถ้าอีกฝ่ายหายไป

บางคู่ก็บอกว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่า "ทนอยู่"...และอยู่เหมือนเป็น "เพื่อน" กันมากกว่าจะเป็นคู่รัก

ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็น "หวาน" หรือ "ขม"...ที่สำคัญก็คือ พวกเค้ายังคงอยู่ด้วยกัน และถูกผูกกันไว้ด้วย "เส้นด้ายที่มองไม่เห็น"

แน่นอนว่าตำแหน่งที่ถูกผูกไว้ ก็คือ "หัวใจ"

...

บ่อยครั้งที่ชีวิตคู่ของใครหลายๆ คู่...ต้องมีอันจบลงด้วย "การแยกทาง"

และหนึ่งในสาเหตุหลักของการแยกทาง ก็คือ "การเปลี่ยนแปลง"

...ซึ่งผมเคยอ่านเจอเมื่อนานมาแล้วว่า

เธอเลือกเค้า เพราะหวังว่า เค้าจะเปลี่ยนแปลงเพื่อเธอ...ส่วนเค้าเลือกเธอ เพราะหวังว่า เธอจะไม่เปลี่ยนแปลงไป

เธอและเค้าจึงต้องทะเลาะกัน เพราะเค้าไม่เคยคิดจะเปลี่ยน...ในขณะที่เค้าก็รู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปเมื่อมาอยู่ด้วยกันกับเค้า

...

กับระยะเวลากว่า 13 ปี...ก็ยังอาจจะเร็วไปที่ผมจะสรุปว่า ผม "เข้าใจ" ชีวิตคู่ได้ดีพอแล้ว

แต่ผมก็ยังอยากจะสรุปว่า ความรักของแต่ละคู่ย่อมไม่มีวันจะเหมือนกัน...นั่นหมายความว่า บางทีคงจะไม่มี "สูตรสำเร็จ" สำหรับชีวิตคู่ อยู่บนโลก

อย่าพึ่งหมดหวังครับ...เพราะผมเชื่อว่า เราใช้ "ความยอมรับในความต่าง" และ "ความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลง" มาปรับใช้กับ "การใช้ชีวิตคู่" ได้

...

หากว่านิยามของคนแข็งแกร่งนั้น ไม่ใช่คนที่ชนะทุกครั้งที่ลงแข่ง แต่เป็นคนที่ลุกขึ้นทุกครั้งที่พ่ายแพ้

ผมว่า การใช้ชีวิตคู่ ก็น่าจะมีนิยามที่คล้ายกัน...

ชีวิตคู่ที่แข็งแรง จึงมิใช่การอยู่ร่วมกันโดยไม่มีความเบาะแว้ง

หากแต่เป็นการกลับมามองตากันอย่างเข้าใจ...ได้ในทุกๆ ครั้งหลังจากที่มีความไม่เข้าใจใดๆ เกิดขึ้น

...

อย่าลืมเสียล่ะครับ...การเดินทางที่น่าจดจำนั้น ไม่ใช่การเดินทางที่เรียบง่ายและเป็นไปตามแผน

หากแต่เป็นการเดินทางที่มีครบรสชาติ...ได้ผ่านความลำบาก, ความทุกข์ยาก, ความสุข, เสียงหัวเราะ, รอยยิ้ม, น้ำตา, ความไม่เข้าใจ, การปรับเข้าหากัน, การง้องอน, การให้อภัย, ความเข้าใจ และอื่นๆ อีกมากมาย

นั่นล่ะ จึงทำให้ "ชีวิตคู่" เป็นการเดินทางอันน่าจดจำกว่าชีวิตแบบอื่น

ดังนั้น...สำหรับผมแล้ว...

...ชีวิตคู่ จึงไม่ใช่เส้นชัย...หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเดินทางไกลที่เราจับมือใครอีกคนเดินไปด้วยกัน ต่างหาก...

#NoteToSelf

  • เราอาจมีร้อยเหตุผลที่จะเลิกรักใครบางคน แต่หากยังคงหาเหตุผลที่ดีที่จะรักใครคนนั้นได้อยู่...ก็เพียงพอแล้วกระมัง ที่เรายังคงอยู่ด้วยกันได้ต่อไป
  • คนเราเปลี่ยนแปลงทุกวัน เราจึงต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์...ไม่เว้นแม้กับความรัก
  • อย่าปล่อยให้ความรักที่เรามีให้กับใครสักคน เข้าสู่ Comfort Zone...ทำยังไงให้ "รักของเรายังใหม่...ยังไม่เก่าเลย"
  • การจะรักใครสักคน อาจไม่ยาก...แต่การจะรักใครสักคนได้ชั่วชีวิตน่ะ มันคง "ยิ่งใหญ่และสวยงาม" ไม่น้อย

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...