Skip to main content

Posts

Showing posts from October, 2017

Post#5-055: การบ้าน

Post#5-055: สิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ มักจะเกลียดกลัวเอามากๆ สมัยที่ยังเป็นแก๊งฟันน้ำนมอยู่ ก็คือ “ การบ้าน ” นั่นเอง กลับถึงบ้าน แทนที่จะได้เล่นสบายๆ หรือดูการ์ตูนทีวีให้ฉ่ำอุรา กลับต้องมางกๆ ทำการบ้าน ซะงั้น บางวันที่วิญญาณเกเรเข้าสิง ... ก็ไม่ทำการบ้านมันซะงั้น เล่นให้สุขกายสบายใจดีกว่า ... เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ค่อยไปลอกเพื่อนเอา ... แต่จริงๆ แล้ว ... จุดประสงค์ของการบ้านนั้น มีไว้เพื่อให้เราทบทวนความเข้าใจในบทเรียนที่เรียนมาทั้งวัน แปลว่า ถ้าวันไหนไม่ตั้งใจเรียน ก็มีอันเชื่อได้ว่า เราก็จะทำการบ้านด้วยความติดๆ ขัดๆ ต้องถามพ่อกวนแม่ ให้วุ่นวาย พอทำการบ้านไม่ได้ดี ก็โดนคุณครูดุ ไม่ก็โดนตี ... ก็เลยพาลทำให้เกลียดวิชา เกลียดการเรียน เกลียดโรงเรียน ไปเสียหมด แค่ลืมไปอย่างเดียวเท่านั้นเอง ... คือลืมนึกไปว่า ทั้งหมดทั้งมวล ก็เกิดจากตัวเองนั่นแหละ ที่บกพร่องในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน ... หลายๆ คนเลย ... ที่ในชีวิตจริง ก็ยังทำตัวเหมือนเด็กเกเรที่ไม่ชอบทำการบ้าน มาทำงาน ก็คือแค่มาอยู่ให้ครบตามเวลา ก็เท่านั้น ... ไม่ประสงค์จะ...

Post#5-054: อัศวินขี่ม้าขาว

Post#5-054: สมัยมัธยมต้น ในชั่วโมงวิชาวิทยาศาสตร์เบื้องต้น ... เราคงเคยทดลองทางเคมีกันมาบ้างแล้ว และคงพอจะทราบกันว่า “ น้ำ ” กับ “ น้ำมัน ” นั้น เข้ากันไม่ได้เลย ... เรียกว่าจับมาผสมยังไง ก็จะแยกชั้นกันอยู่นั่นเอง โดยน้ำอยู่ชั้นล่าง และน้ำมันลอยอยู่ชั้นบน แล้วก็มี “ อัศวินขี่ม้าขาว ” ปรากฎกายมาช่วยเหลือ และทำให้น้ำกับน้ำมันผสมกันเป็นเนื้อเดียวกันได้ในที่สุด “ อัศวินขี่ม้าขาว ” ที่ว่า มีหลากหลายครับ บ้างก็เป็นสบู่ บ้างก็เป็นแอลกอฮอลล์ และ ฯลฯ ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ ... ว่าเราจะให้น้ำกับน้ำมันผสมกันเป็นอะไร ? ... แล้วในชีวิตจริงล่ะ ? มีใครได้เคยเล่นบทเป็น “ อัศวินขี่ม้าขาว ” แล้วบ้างครับ ? ถ้าใครเคยแล้ว ... ผมขอปรบมือเป็นการยกย่องและชมเชย แบบกราวใหญ่ๆ เลย ไม่ใช่ว่า ใครๆ ก็เป็น “ อัศวินขี่ม้าขาว ” ได้นะครับ เพราะบทนี้ ต้องอาศัยทักษะหลายๆ อย่าง ... และที่สำคัญ ต้องมีจิตใจที่ดีงามและกล้าหาญมากๆ ด้วย ... มันอาจจะมีบางคราว ที่เรายืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย ที่ต่างก็มีเหตุผลที่น่าเห็นใจ ทำให้ไม่อาจก้าวถอยออกจากจุดยืน...

Post#5-053: มัชฌิมาปฏิปทา

Post#5-053: เชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ที่เป็นชาวพุทธ คงเคยได้ยินและรู้จักคำว่า “ มัชฌิมาปฏิปทา ” กันเป็นอย่างดีนะครับ พุทธองค์ทรงโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์ไว้ว่า อะไรที่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป ก็ล้วนไม่ดีทั้งสิ้น ... ต้องเดินสายกลาง จึงจะเป็นมรรคไปสู่ทางหลุดพ้น น่าเสียดายที่แม้เราจะรู้สัจธรรมข้อนี้ ... แต่เราก็มักจะเผลอไผล ไม่ก็ลืมตัว ปล่อยใจไปตามกิเลส , ราคะ และตัณหา เสมอ สุดท้ายเราก็เลยเฉไฉออกนอกทางสายกลาง ... ไม่เป็นพวกตึงสุดขั้ว ก็กลายเป็นพวกหย่อนสุดขีด ตามแต่นิวรณ์ทั้งหลายจะฉุดกระชากลากไป ... เจ้าความเผลอไผล , ลืมตัว และปล่อยใจทั้งหลาย จะเกิดขึ้นได้ ... ก็ ณ ตอนที่เราไม่มี “ สติ ” ครองจิต นั่นเอง การเดินสายกลาง จึงเป็นการฝึกให้เรามีสติเท่าทันจิต และคอยกำกับให้จิตไม่ยึดติดกับนิวรณ์ฝ่ายตึงหรือฝ่ายหย่อน จนเกินพอดี ... ก็เพราะ “ จิต ” ของคนเรา ถูกปรุงแต่งและแส่ส่ายได้ง่าย นั่นเอง ... ผู้คนส่วนใหญ่จึงมิอาจมี “ สติ ” รู้ตัวอยู่ทุกขณะได้ ก็เพราะแบบนี้นี่เอง ... จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า เหตุใด คนบรรลุ “ โสดาปัตติผล ” จึงมีน้อยกว่าน้อย ...

Post#5-052: ไม่สมบูรณ์แต่สมดุล

Post#5-052: หนึ่งในความฝันวัยเยาว์ของใครหลายๆ คน ก็คือ การเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ถ้าเป็นผู้ชายก็อยากหล่อ , รูปร่างดี , มีรถหรู , ดูฉลาด , มาดคุณชาย และจับจ่ายคล่อง ส่วนถ้าเป็นผู้หญิงก็อยากสวย , รูปร่างเซ็กซี่ , มีคนพะเน้าพะนอ , ได้ทุกอย่างตามที่ขอ และไม่ต้องงอชายใด แต่ในความเป็นจริง คนที่ได้รับพรเหล่านั้นครบถ้วนนั้น มีน้อยกว่าน้อย ... โดยมากเรามักจะได้ยินกันว่า “Nobody is perfect!” เสียล่ะมากกว่า ... และต้องยอมรับกันว่า ประโยคนี้ มันเป็นความจริงที่ไม่ว่าใครก็คงจะปฏิเสธได้ยาก รวมความแล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะมี “ จุดด้อย ” กันบ้าง คนละอย่างสองอย่าง หรือบางคนก็มีจุดด้อยมากกว่าจุดเด่น ว่างั้น แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น จะเอายังไงกับชีวิตดีล่ะ ? ... ใครที่มีจุดด้อยมากมาย ก็ควรจะเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้เสียก่อน อย่ามัวแต่ก่นด่าชะตากรรม เพราะมันไม่ได้ทำให้จุดด้อยนั้นหายไป ... ตรงกันข้าม มันจะยิ่งกลายเป็นการย้ำให้จุดด้อยนั้น ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ก็เหมือนเรามัวแต่บ่นว่าห้องมันมืด แต่ไม่ยอมเปิดไฟ หรือจุดตะเกียงนั่นเอง อยากดีขึ้น...

Post#5-051: กบในกะลา

Post#5-051: หลายครั้งหลายหน ที่เราคิดว่าเราทำหน้าที่ของเราได้ดีแล้ว เยี่ยมแล้ว ... แต่ก็ไม่วายที่จะโดนเจ้านายติโน่น บ่นนี่ ให้เสียกำลังใจอยู่บ่อยๆ อืมม ... ถ้ามองจากมุมของลูกน้อง มันก็น่าเห็นใจอยู่นะครับ แต่ใครที่เป็นเจ้านายที่เติบโตมาจากระดับปฏิบัติการ ... ก็คงกำลังอมยิ้มน้อยๆ เพราะเหมือนมองเห็นตัวเองในอดีต อยู่แน่ๆ ... สาเหตุนั้นเป็นเพราะ “ กะลา ” ที่ครอบตัวเราอยู่นั้น ยังใหญ่ไม่เท่าของเจ้านาย ... ก็แค่นั้นเอง เปล่าครับ ... ผมไม่ได้ดูถูกว่า ลูกน้องทุกคน เป็น “ กบในกะลา ”... หากแต่จะฟันธงว่า คนทำงานทุกคนล้วนเป็น “ กบในกะลา ” ทั้งสิ้นนั่นแหละ ผิดก็เพียงแต่ว่า กะลาที่ครอบตัวเราอยู่นั้น ต่างคนต่างมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน ... สุดแต่ใครจะขวนขวายหากะลาใบที่ใหญ่ขึ้นได้เร็วกว่ากัน เท่านั้นเอง ... บางเรื่องบางอย่างที่เราคิดว่า เราทำดีแล้ว เยี่ยมแล้ว ... เป็นเพราะเราเปรียบเทียบสิ่งที่เราทำกับขนาดกะลาที่เรามี เท่านั้น แต่เมื่อเอากะลาของเราไปเทียบกับกะลาของเจ้านาย ... มันก็อาจจะเหมือนเราพยายามจะเทียบขนาดของโลกกับดวงอาทิตย์ ซึ่งไม่มีวันจะชนะ...