Skip to main content

Post#5-053: มัชฌิมาปฏิปทา

Post#5-053:
เชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ที่เป็นชาวพุทธ คงเคยได้ยินและรู้จักคำว่ามัชฌิมาปฏิปทากันเป็นอย่างดีนะครับ

พุทธองค์ทรงโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์ไว้ว่า อะไรที่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป ก็ล้วนไม่ดีทั้งสิ้น...ต้องเดินสายกลาง จึงจะเป็นมรรคไปสู่ทางหลุดพ้น

น่าเสียดายที่แม้เราจะรู้สัจธรรมข้อนี้...แต่เราก็มักจะเผลอไผล ไม่ก็ลืมตัว ปล่อยใจไปตามกิเลส, ราคะ และตัณหา เสมอ

สุดท้ายเราก็เลยเฉไฉออกนอกทางสายกลาง...ไม่เป็นพวกตึงสุดขั้ว ก็กลายเป็นพวกหย่อนสุดขีด ตามแต่นิวรณ์ทั้งหลายจะฉุดกระชากลากไป

...

เจ้าความเผลอไผล, ลืมตัว และปล่อยใจทั้งหลาย จะเกิดขึ้นได้...ก็ ตอนที่เราไม่มีสติครองจิต นั่นเอง

การเดินสายกลาง จึงเป็นการฝึกให้เรามีสติเท่าทันจิต และคอยกำกับให้จิตไม่ยึดติดกับนิวรณ์ฝ่ายตึงหรือฝ่ายหย่อน จนเกินพอดี...

ก็เพราะจิตของคนเรา ถูกปรุงแต่งและแส่ส่ายได้ง่าย นั่นเอง...ผู้คนส่วนใหญ่จึงมิอาจมีสติรู้ตัวอยู่ทุกขณะได้

ก็เพราะแบบนี้นี่เอง...จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า เหตุใด คนบรรลุโสดาปัตติผลจึงมีน้อยกว่าน้อย

...

ดังนั้น ถ้าใครมีสติอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้ตามวาระจิตของตัวเองได้ทัน

เมื่อตามทัน...สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้

เมื่อรู้ใจเข้าใจจิต...ก็วางทุกอารมณ์ได้หมด

เมื่อวางอารมณ์ได้...จิตจึงไม่เกิดการปรุงแต่ง

เมื่อจิตไม่เกิดการปรุงแต่ง...อุปาทานจึงไม่มี 

เมื่อไม่มีอุปาทาน...ภพจึงไม่เกิด ชาติจึงไม่มี

เมื่อไม่มีชาติ ไม่เกิดภพ...

...นิพพานนั่นไง ที่อยู่ปลายทาง...

#NoteToSelf: 

  • ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งเหตุและผล...สิ่งนี้เกิด จึงมีสิ่งนี้ตามมา เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท หรืออิทัปปัจจยตา
  • เมื่อเดินสายกลาง ไม่ตึงเกินไป หรือหย่อนเกินไป...จิตจึงไม่ยึดติด แส่ส่ายน้อยลง ทำให้เรามีสติพิจารณาได้ดีขึ้น
  • เมื่อมีสติ จึงทำให้เราอยู่บนทางแห่งมรรคได้โดยง่าย...และเมื่ออยู่บนสัมมาอันดี จึงถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ และปัญญา อันจะเอื้อให้เราเป็นขีณาสพได้ นั่นเอง

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...