Skip to main content

Posts

Showing posts from July, 2015

Post#2-327: เมื่อไหร่หนอ...เราจะเข้าใจตรงกัน

Post#2-327: เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผมประชุมกับอดีตลูกน้อง ถึงความเป็นไปได้ที่จะทำงานใหญ่ชิ้นหนึ่งร่วมกัน ผมเห็นว่า มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องอธิบายให้ผู้ลงมือปฏิบัติได้เห็นภาพทั้งหมดของธุรกิจ และเข้าใจ Roadmap ที่จะต้องไป หาไม่แล้ว ผู้ปฏิบัติก็จะทำงานแบบไร้เป้าหมายและทิศทาง เปรียบเสมือนกระโจนลงน้ำแล้วก็ว่ายไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่า จะว่ายไปไหน ... เมื่อเช้าผมส่งข้อความถึงเจ้าขององค์กรแห่งหนึ่งที่เป็นลูกค้าของผม ประเด็นหลักๆ อยู่ที่การขอให้ผู้บริหารระดับสูงให้ความสำคัญกับการทำงานอย่างเป็นระบบ และต้องจริงจังกับการกำกับดูแลให้ทีมทำงานให้ได้ตามนโยบาย จะบริหารงานได้ดี หาใช่สั่งการแล้วปล่อยปละให้ทีมงานทำงานไปตามยถากรรม แต่ต้องหมั่นสอบถามและติดตามงานเป็นระยะด้วย ... งานจะสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่เพียงฝ่ายเดียว...หากฝ่ายหนึ่งเอาแต่สั่ง และอีกฝ่ายหนึ่งสักแต่ทำ รับรองว่างานไม่มีทางที่จะสำเร็จลงได้ ก่อนเริ่มงานใดๆ จึงต้องให้นายและลูกน้องเข้าใจทุกอย่างให้ตรงกัน เริ่มด้วยการกำหนดเป้าให้ชัด ตามด้วยการวางแผนทำงานให้ชัวร์... จากน...

Post#2-326: สิ่งเร้าภายนอกมิอาจกล้ำกลาย

Post#2-326: ค่ำวานนี้ ผมมีโอกาสได้ร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ในโอกาสที่เค้าขยายธุรกิจไปยังประเทศเมียนม่าร์ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังหลายครั้งหลายหน ว่าประเทศนี้มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ค่อนข้างมาก และที่สำคัญมีโอกาสทางธุรกิจอยู่อย่างมหาศาล แม้ว่าตอนนี้จะยังตามหลังประเทศของเรา แต่คลื่นแห่งพลวัตแห่งการลงทุนจากทั่วโลก กำลังถาโถมเข้าไปสู่ประเทศแห่งนี้ ... มานั่งพิจารณาทบทวนดู ผมพบว่าประเทศเมียนม่าร์กับประเทศญี่ปุ่น มีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งในด้านความกลมกลืนระหว่างความเจริญทางวัตถุและความมีจริยวัตรแห่งจิตใจ แม้ว่าจะมีกระแสความเจริญด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมใดๆ ก็ตามเข้าไปสู่เมียนม่าร์และญี่ปุ่น แต่รากเหง้าแห่งจิตใจของคนในประเทศกลับไปเปลี่ยนแปลง เรายังเห็นคนญี่ปุ่นใส่กิโมโนอยู่ท่ามกลางความศิวิไล เฉกเช่นกับการที่เราก็จะเห็นคนพม่านุ่งลองยีขึ้นรถยนต์ไปไหนต่อไหนได้อย่างเป็นปกติและสามัญ สำหรับผมแล้ว มันเป็นความอัจจรรย์อย่างมาก ในการที่ชาติใดๆ จะรักษาวัฒนธรรมแห่งชาติตะวันออกให้คงอยู่ ท่ามกลางกระแสแห่งการเปิดรับวัฒนธรรมของโลกตะวันตก ... การรักษาสภาวะแห่...

Post#2-325: เริ่มต้นด้วย Passion

Post#2-325: เที่ยงนี้ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับอดีตเจ้านายที่ไม่ได้เจอกันนานพอดู ก็คุยเรื่องเก่าบ้าง คุยเรื่องแผนอนาคตบ้าง  ได้แลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบบ้าง คุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนลืมเวลา ผมชอบเวลาคุยกับคนกันเองแบบนี้ ชอบตรงที่เรื่องที่คุยมันจะกระโดดไปกระโดดมา เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องโน้น เป็นการสนทนาแบบไร้ระเบียบ แต่เปี่ยมไปด้วยความสนุกและเปิดเผย ตอนหนึ่งของการสนทนา เราก็คุยกันถึงเรื่องแผนงานใหม่ๆ อารมณ์ประมาณ Thinking Out Loud ว่างานนั้นทำแบบนี้ดีมั๊ย? แล้วงานนี้ทำแบบนี้ไปถูกทางมั๊ยหนอ? ... จะว่าไปเราคงมีเพื่อนแท้แค่ไม่กี่คน ที่สามารถเล่าความคิด ปันความฝันให้เค้าฟังได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าเค้าจะมาดูถูกดูแคลน ซึ่งนอกจากจะไม่ดูแคลนแล้ว เค้าก็ยังจะช่วยเกลาความคิด ให้ความเห็น และเป็นกำลังใจให้เราอีกด้วย...ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเรียกรวมๆ ว่า "มิตรภาพ" เพื่อนแท้จึงมีไว้คอยช่วยเหลือกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คอยตบไหล่ชื่นชม รวมไปถึงดุด่าและติติงยามที่เราทำอะไรไม่ถูกไม่ควร...ไม่ใช่เข้าข้างหรืออวยกันตะพึดตะพือ ไม่แยกแยะผิดถูก ... สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากอด...

Post#2-324: เลี่ยงบาลี

Post#2-324: จำได้ว่าผมเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับภาวะที่เราจำต้องก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้องอยู่ครั้งหนึ่ง (Post#150) บางครั้งชีวิตก็เป็นแบบนี้ แบบที่เราเลือกไม่ได้ที่อาจจะต้องเจอความไม่ถูกต้อง, คนไม่ถูกต้อง หรือสิ่งไม่ถูกต้อง ที่เข้ามาทำให้เรารู้สึกยากลำบากในหัวใจ ป่วยการจะหลบหรือจะหนี เพราะมันแทบจะเป็นเรื่องที่เราต้องเจอแน่นอน ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ไม่บนท้องถนน ก็ที่บ้าน ไม่ก็ที่ทำงาน ... เรื่องราวความไม่ถูกต้องต่างๆ ที่เราพบเจอ ต่างมีเหตุและปัจจัยต่างกัน บางเรื่องเราป้องกันหรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นได้ บางเรื่องรู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เราอาจจำต้องยอมให้มันเป็นไป...ก็มี บางครั้งความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่องของมุมมองและการตีความ บางเรื่องเรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่อาจฟันธงได้แบบชัดๆ ว่ามันเป็นเรื่องที่ "ผิด" เรื่อง "ไม่ถูกต้อง" กับ เรื่อง "ผิด" แท้จริงแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับว่ามองจากมุมของใคร หรือใครเป็นผู้ตีความอย่างที่ว่า หากเป็นเรื่องผิด ก็แปลว่า ทำผิดกฎที่วางไว้อย่างชัดเจน แต่หากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แปล...

Post#2-323: ลองทำรึยัง?

Post#2-323: วันนี้ผมชวนภรรยาและลูกสาวมาทานข้าวเย็นด้วยกันนอกบ้าน เพราะสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมยุ่งอยู่กับการประชุมจนไม่มีเวลา ผมชอบนั่งทานข้าวกับลูกสาวมากๆ เพราะเธอเป็นพวกช่างพูด ถามนั่นคุยนี่ไม่หยุดปาก เรียกว่าถอดแบบพ่อไปเลยก็ว่าได้ ว่ากันที่จริง ผมก็ใช้คำถามต่างๆ ที่ลูกถามนี่แหละครับ เป็นตัวประเมินว่า ระดับความคิดและวิธีมองโลกของเธอเป็นยังไง ... พูดกันแบบไม่อาย ผมค่อนข้าง spoil ลูกอยู่ไม่น้อย ค่าที่เป็นลูกคนเดียว และเป็นสาวน้อยที่ผมหลงรักอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ก็ได้ภรรยาเป็นผู้กระตุกเตือน และคอยคุมไม่ให้พ่อและลูกเดินออกนอกทางจนมากเกินควร เรียกว่า ไม่เฉพาะครอบครัวของผม แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ลูกเติบโตมาอย่างดีงามได้ เพราะมีแม่คอยเคี่ยวเข็ญ...ก็คงจะไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด ไม่ผิดหรอกครับที่เราจะรักลูกมาก แต่ความพอเหมาะพอควรที่จะสั่งสอนลูกนั้น เป็นเรื่องที่คนเป็นพ่อและแม่ไม่อาจที่จะละเลยได้...ไม่งั้นก็จะกลายเป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" อย่างที่เราๆ ท่านๆ ก็รู้ๆ กันอยู่ ... อย่างวันนี้ ลูกสาวตัวน้อยของผมพยายามจะหยิบกระดาษทิชชู่ แต่เอื้อมไม่ถึง แล้วก...

Post#2-322: รอพร้อม 100%

Post#2-322: ผมเชื่อว่าหลายๆ คนมีภาระต้องผ่อนบ้านและผ่อนรถ เช่นเดียวกับผมและคนส่วนใหญ่ของประเทศ แม้เราจะไม่สามารถซื้อบ้านหรือรถด้วยเงินสดได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราต้องรอเก็บเงินจนครบแล้วจึงจะไปซื้อ เรื่องบางเรื่องหรือของบางอย่าง เราก็ไม่สามารถที่จะรอจนพร้อมมูลได้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องลงมือทำไปก่อนหรือของบางอย่างจึงต้องใช้วิธีผ่อนเอาอย่างที่ว่า ... แล้วอยู่ดีๆ ผมเอาเรื่องผ่อนบ้านผ่อนรถมาเล่าทำไม? ก็เพราะเช้านี้ มีรุ่นน้องคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ K นะครับ) โทรมาปรึกษาเรื่องจะออกไปทำกิจการของตัวเอง มีแผนชัดเจน แต่กลับขาดความกล้า และซ่อนต้วเองอยู่หลังคำว่า "ไม่พร้อม" ตอนหนึ่งของการสนทนา น้อง K บอกว่า "ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมดีครับพี่ อยากจะรอให้มีเงินทุนเพิ่มอีกหน่อย แล้วก็รอให้อายุมากกว่านี้อีกนิด" ผมไม่ได้บอกน้อง K ว่าเค้าคิดถูกหรือผิด แต่ให้ไปคิดต่อเอาเองว่า... ข้อหนึ่ง...แม้เรื่องเงินทุนจะสำคัญ แต่เริ่มต้นธุรกิจต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้นจริงหรือ? เริ่มจากเล็กๆ ก่อนดีมั๊ย ไม่จำเป็นต้องทำให้ธุรกิจใหญ่จนเกินกำลังของตัวเอง ข้อสอง...ความสำเร...

Post#2-321: ยึดติดแบบไม่ลืมหูลืมตา

Post#2-321: ผมเพิ่งตัดสินใจเปลี่ยน Brand ของ TV ใหม่ หลังจากใช้ Brand เดิมมากว่า 20 ปี หลังจากเปลี่ยนได้เพียงวันเดียว ผมกลับมีความรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก...เสียดายที่ยึดติดกับ Brand เดิมๆ โดยไม่ได้หันไปมอง Brand อื่นๆ เลย ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา บางครั้งการยึดติดกับ Brand มากเกินไป ก็อาจทำให้เราสูญเสียโอกาสดีๆ ไปอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ... ถามว่าผิดมั๊ย ที่เราจะจงรักภักดีต่อ Brand สินค้าใดสินค้าหนึ่ง? ผมตอบได้ดังๆ เลยครับ ว่าไม่ผิด...แต่... แต่อะไร? แต่ก็ต้องเปิดโอกาสให้ตัวเราเองได้ทดลอง Brand อื่นๆ บ้าง ถ้าลองแล้วไม่ชอบใจ เราก็ยังกลับมาใช้ Brand เดิมได้ ไม่ใช่ยึดติดกับชื่อเสียงที่ Brand เดิมๆ มี จนไม่เผื่อใจให้ Brand อื่นเลย แม้ผมจะเป็นพวก Innovator ที่ชอบทดลอง Gadget ใหม่ๆ แต่แปลกที่ไม่เคยชายตามอง Brand TV อื่นๆ เลย อย่างที่ว่า ถ้ารู้สึกตัวเร็วกว่านี้ คงมีความสุขกับการดู TV ที่ดีกว่าที่เคยมีตั้งแต่นานนมมาแล้ว...เรียกว่าจ่ายเงินให้กับความยึดติดใน Brand โดยใช่ที่ไปซะตั้งนาน ... หันกลับมามองชีวิตดูบ้างครับ...มีเรื่องไหนบ้างที่เราหลงทางคิดไปเอ...

Post#2-320: จะกลัวทำไมถ้าหัวใจร่ำร้อง

Post#2-320: คุณแม่ผมอายุเลยแซยิดไปมากแล้ว แต่เพิ่งจะเริ่มทำกิจกรรมใหม่ๆ บางอย่างสำหรับตัวเอง ก่อนหน้านี้ ก็ไม่เคยปรากฏว่า แม่จะอยากทำ หรือสำหรับผมแล้ว เป็นเรื่องเกินเชื่ออย่างมากว่าแม่จะทำได้ กิจกรรมที่ว่า เป็นกิจกรรมสามัญธรรมดาเหลือเกินสำหรับคนทั่วๆ ไป ซึ่งก็คือ "การร้องเพลง" ... อะไรก็ตามที่เราไม่เคยทำมาก่อน เราอาจจะนึกว่ามันยากเหลือเกิน เราทำไม่ได้แน่ๆ แล้วเราก็ไม่เคยคิดที่จะกล้าทำ ต่อเมื่อลงมือทำจริงๆ อะไรที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ เรากลับทำได้ และบ่อยครั้งกลายเป็นทำได้ดีกว่าคนที่ทำมานานแล้วด้วยซ้ำก็มี "ไม่เคยทำ" ไม่ได้แปลว่า "ทำไม่ได้" นี่ครับ ... ย้อนกลับไปที่เรื่องร้องเพลงของคุณแม่ผมบ้าง...ถามว่าท่านร้องเพราะมั๊ย ก็ต้องตอบว่า ยังไม่เพราะ ยังร้องคล่อมจังหวะ สรุปว่ายังห่างไกลจากคำว่า "ไพเราะ" ก็แล้วกัน แล้วยังไงครับ? ก็ความสำเร็จของกิจกรรมใหม่ของคุณแม่ผมนั้น มันสำเร็จตั้งแต่ท่านกล้าจับไมค์และเดินขึ้นเวทีไปร้องเพลงแล้ว วันนี้ยังร้องไม่เพราะ แต่วันหน้าอาจจะเพราะ เพราะของแบบนี้ฝึกกันได้ แต่ถ้าวันนี้ยังไม่...

Post#2-319: จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน

Post#2-319: เช้านี้ผมประชุมทีมงานเพื่อ update สถานการณ์ต่างๆ ขององค์กรให้น้องๆ ทุกคนได้รับทราบ ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเล่าเรื่องต่างๆ ให้น้องๆ ได้รับรู้ โดยเฉพาะถ้ามันเป็นเรื่องที่กระทบกับปากท้องและรายได้ของพวกเค้า ไม่ว่าสถานการณ์ขององค์กรจะดีหรือแย่ ทุกคนก็ควรมีสิทธิ์รับรู้ ดีกว่าปล่อยให้ไปคาดเดาเอาเอง เข้าใจเอาเอง หรือทึกทักเอาเอง ... อย่างที่เคยแชร์ไว้หลายครั้ง การทำธุรกิจนั้น เจ้าของลงเงิน พนักงานลงแรง ขาดใครไปธุรกิจก็ไปต่อได้ยาก ก็แปลว่า ทั้งเจ้าของและพนักงานถือเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน เมื่อเป็นหุ้นส่วนกัน ก็แปลว่าควรจะมีสุขร่วมเสพ และมีทุกข์ร่วมต้าน เพราะทั้งเจ้าของทั้งพนักงานต่างก็มีความคาดหวังในรายได้และต่างก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เจ้าของเสี่ยงมาก ก็เลยมีโอกาสได้ส่วนแบ่งมาก หรืออาจจะขาดทุนเยอะ ขึ้นอยู่กับมีวิสัยทัศน์อย่างไร, วางแผนงานดีหรือไม่ และรวมไปถึงเลือกคนมาร่วมงานได้ถูกต้องรึเปล่า? พนักงานเสี่ยงน้อย ก็ได้ส่วนแบ่งน้อยตามความเสี่ยง แต่ปิดประตูขาดทุน เพราะรับเงินแน่ๆ ทุกสิ้นเดือน ดังนั้นก็ต้องเลือกองค์กรที่จะไปฝากชีวิตไว้เช่นกัน ... อง...

Post#2-318: ปล่อยวางความผิดพลาดเล็กๆ ไปบ้าง

Post#2-318: สืบเนื่องมาจากการประสานงานที่ผิดพลาด ทำให้วันนี้ผมมีอันต้องมานั่งทำงานอยู่ในร้านกาแฟเป็นเวลาพักใหญ่ๆ บางครั้งความผิดพลาดที่ไม่น่าเชื่อ ก็เกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่คาดฝันมาก่อนแบบนี้ จะโกรธไปก็ใช่ว่าจะมีอะไรดีขึ้น ว่าแล้วผมก็ปลงตก และก้มหน้าก้มตาทำงานของผมไป พร้อมจิบกาแฟร้อนๆ ไปด้วย ... เมื่อเราปลงได้ ละความโกรธในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ลงบ้าง เราก็จะพบว่า จริงๆ แล้วในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็ใช่ว่าจะทำให้ชีวิตเราแย่ไปซะทั้งหมด ดูอย่างวันนี้ กลายเป็นว่าผมทำงานได้มากกว่าเดิม เพราะไม่อยู่ office ให้ใครเข้าพบได้เหมือนทุกๆ วัน และที่สำคัญได้เปลี่ยนบรรยากาศในการทำงาน เรียกว่า มาใช้ชีวิตทำงานแบบ "slow life" บ้าง ก็ไม่เลวทีเดียว ว่ากันตามจริง ในแต่ละวันของชีวิตก็มีเรื่องยุ่งวุ่นวายไม่เว้นอยู่แล้ว บางเรื่องที่ช่างมันได้ก็ช่างมันไปบ้างดีกว่าครับ มัวแต่ถือโทษโกรธขึ้งทุกเรื่อง ผมว่าสุดท้ายคนที่แย่ก็คือตัวเราเอง ... ผมไม่ได้บอกว่า เราสามารถยอมให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้บ่อยๆ หรือปล่อยให้ใครก็ตามทำผิดพลาดอยู่อย่างนั้นได้เรื่อยไปนะครับ เพียงแต่เมื่อมีค...

Post#2-317: ฝันให้ชัดแล้วก็ลงมือทำ

Post#2-317: ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองรึเปล่า ว่าช่วงนี้มีแต่คนอยากเปลี่ยนงานที่ทำอยู่ ต่างคนก็ต่างมีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งเราคงไปลงความเห็นอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าสำหรับเราแล้ว เหตุผลนั้นจะฟังไม่ค่อยเข้าทีก็ตาม หลายคนที่มาปรึกษาผม ส่วนมากก็อยากเปลี่ยนงาน ซึ่งผมแชร์มุมมองไปแล้ว ใน Post ก่อนๆ แต่มาระยะหลังๆ นี้ เริ่มมีคำถามเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ มากขึ้น ... จะว่าไปแล้ว ความฝันหนึ่งที่มนุษย์เงินเดือนกลุ่มใหญ่มักจะมี ก็คือการได้เป็นเจ้าของกิจการนี่แหละครับ ซึ่งผมชอบคุยกับคนที่มีความฝันเหล่านี้ เพราะอยากรู้ว่าเค้ามีวิธีแปลงความฝันให้เป็นจริงได้ยังไง หากแต่หลายๆ คนที่มาปรึกษาผม ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นยังไงดี หรืออยากรู้ว่าความเสี่ยงของการออกมาทำอะไรเองนั้นน่ะ มีเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งผมก็แชร์มุมมองและประสบการณ์ที่ผมมีให้ฟังโดยไม่หวงวิชา แต่คำถามที่ผมฟังทีไร แล้วต้องแอบค้อนคนถามก็คือ "ผม/หนู อยากเป็นเจ้าของกิจการ ครับ/ค่ะ แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี" ... ถ้าแค่ฝันถึงเป้าหมาย ยังฝันให้ชัดเจนไม่ได้ ยังมองภาพปลายทางแห่งความฝันไม่ออกเลย ว่าที่เส้นชัยนั้น...

Post#2-316: เมื่อให้แล้ว...อย่า xxx / เมื่อร้บแล้ว...อย่า xxx

Post#2-316: ความจริงเราก็คุยกันบ่อยอยู่เหมือนกันนะครับ ในเรื่องของการเป็นผู้รับและผู้ให้  (Post#2-126 และ Post#2-174) ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายให้หรือเป็นฝ่ายรับก็แล้วแต่ เราต่างมีสิ่งที่ต้องทำต่อจากการให้และการรับนั้น เพื่อให้การเป็นผู้ให้และผู้รับนั้น เกิดความสุขและเป็นเนื้อนาบุญกับทั้งสองฝ่าย ในที่นี้ผมจึงหมายถึงการให้ในสิ่งดีๆ และการรับในสิ่งดีๆ เท่านั้นนะครับ ส่วนกรณีการให้และการรับในทางที่ไม่ดีนั้น ผมไม่ได้นำมารวมอยู่ด้วย ... ผมจั่วเปิดหัวเป็นคำถามไว้แล้วที่ชื่อตอนของ Post, เมื่อให้แล้ว...อย่าอะไร? และเมื่อรับแล้ว...อย่าอะไร? แม้จะไม่ใช่กฎเหล็กของการเป็นผู้รับและผู้ให้ แต่เมื่อผมได้อ่านคำตอบ...ก็ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่า หากทำได้เช่นนี้ ก็นับว่าทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นผู้รู้จักการให้และการรับโดยแท้ ว่าแล้วก็ลองคิดตามกันดูมั๊ยครับ ผมรบกวนเวลาแค่ 5 นาทีก็พอ ^^ ... คำตอบก็คือ... "เมื่อให้แล้ว...อย่าจำ เมื่อรับแล้ว...อย่าลืม" การให้ที่ดี จึงควรเป็นการให้โดยไม่ต้องไปคาดหวังหรอกครับ ว่าจะได้อะไรตอบแทนหรือไม่  เราควรสุขใจทันทีที่ได้ให้มากกว่า ...

Post#2-315: กำลังใจ

Post#2-315: ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคุยกับทั้งเพื่อนรุ่นพี่และรุ่นน้องหลายๆ คน แต่ละคนล้วนมาจากต่างวัย ต่างธุรกิจ และต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไป บ้างก็เป็นปัญหาเรื่องมุมมอง บ้างก็เป็นปัญหาเพื่อนร่วมงาน บ้างก็เป็นปัญหาที่อยู่นอกเหนือการควบคุม, ฯลฯ หากแต่ทุกๆ คนที่มาคุยกับผม เพราะเค้าแสวงหาอะไรบางอย่างที่พวกเค้าคาดหวังว่าผมน่าจะมีให้ได้...อะไรบางอย่างที่ว่า เป็นสิ่งที่ยิ่งให้เราก็ยิ่งมีเพิ่มเติม อะไรบางอย่างที่ว่า ก็คือ "กำลังใจ" ... หากอาหารเป็นสิ่งเติมพลังกาย กำลังใจก็คืออาหารที่ขับเคลื่อนหัวใจ...ซึ่งผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า แต่อาหารกายคงไม่พอที่จะพาเรามาถึงวันนี้ มันจะต้องมีอาหารใจหล่อเลี้ยงด้วย เมื่อเรามีรสนิยมในด้านอาหารกายแตกต่างกัน จึงไม่แปลกที่จริตในการรับอาหารใจจะผิดแผกแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล เวลาเติมอาหารใจให้ใคร จึงต้องเข้าใจสภาวะจิตและอารมณ์ที่คนๆ นั้นถือครองในขณะนั้นให้ดีด้วย... ช่วงที่คนเราต้องการกำลังใจมักเป็นช่วงที่สภาพจิตใจอ่อนแอและพลังความคิดอ่อนด้อย เราพูดผิดหูไป แทนที่จะเป็นการเติมกำลังใจ จะกลับกลายเป็นการไปซ้ำเติมเค้าโดยไม...