Skip to main content

Post#2-306: ยากดีมีจน...เราเป็นคนอย่างไร?

Post#2-306:
เค้าว่ากันว่า ยามมีกับยามจน คนเราจะทำตัวไม่เหมือนกัน...

เท่าที่ผมลองนึกย้อนชีวิตตัวเองดู ผมก็เห็นว่ามันเป็นจริงอยู่ไม่น้อยเลย

ยามมีเงินน้อยๆ เรามองชีวิตยังไง เราใช้ชีวิตแบบไหน เราใช้ชีวิตแบบเจียมเนื้อเจียมตัวพอมั๊ย? เราใช้เงินมากกว่าเงินที่หาได้รึเปล่า?

แล้วยามที่เราพอจะลืมตาอ้าปากได้บ้างล่ะ เรายังคงใช้ชีวิตแบบเดิมมั๊ย? เรายังเป็นคนเดิมกับตอนที่ไม่ค่อยจะมีรึเปล่า?

ส่วนชีวิตที่มั่งมีแบบมั่งคั่งนั้น ผมยังไปไม่ถึง เลยนึกไม่ออกและจินตนาการไม่ถูกว่า ผมจะยังคิดเหมือนตอนนี้มั๊ย? ยังจะใช้ชีวิตแบบนี้รึเปล่า?

...

ถ้าเราเป็นเหมือนเดิมไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ผมก็นับว่าคนๆ นั้นเป็นยอดคน เท่าที่พอจะเคยได้ยินเรื่องราวมา ก็น่าจะมีแต่ Warren Buffett ที่มีภาพลักษณ์แบบนั้น

เคยอ่านเจอวาทะหนึ่ง (ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นวาทะของคุณประภาส ชลศรานนท์) ว่าไว้เกี่ยวกับเงินตราและอำนาจ...พี่จิกว่าไว้แบบนี้ครับ

"เงินและอำนาจไม่ได้ทำให้คนเปลี่ยน มันแค่ขยายสิ่งที่เค้าเป็นอยู่แล้วให้ใหญ่และชัดขึ้น"

ซึ่งถ้าจริงตามที่พี่จิกแสดงทรรศนะไว้ ก็แปลว่า เมื่อเราถึงพร้อมด้วยเงินตราและอำนาจ เราก็จะแสดงตัวตนของเราออกมาอย่างชัดเจน

ถ้าเดิมเป็นพวกใจบาป เค้าก็จะใช้เงินตราและอำนาจนั้น ไปในทางที่เป็น Dark Side มากขึ้น แต่หากเดิมเค้าเป็นคนใจบุญสุนทาน เค้าก็คงจะใช้เงินตราและอำนาจไปในทางที่เป็น Angel Side กระมัง

...

ฝรั่งเองก็มีวาทะเตือนตนในยามมั่งมีและในยามทุกข์เข็ญเช่นกันครับ วาทะนั้นก็คือ...

"Two things define you: your Patience when you have nothing and your Attitude when you have everything." แปลตามภาษาของผมว่า "มีเพียงสองสิ่งที่ใช้อธิบายตัวตนของเรา: ความอดทนในยามยากแค้น และวิถีในการมองโลกในยามมั่งมี"

ในยามที่พรั่งพร้อมทั้งเงินตราและอำนาจ จึงต้องเตือนตนให้เท้าติดดิน มองโลกอย่างผู้ท้าชิงไม่ใช่แชมป์ และที่สำคัญ...

ต้องรู้จักเตรียมพร้อมหากว่าความยากแค้นอาจจะกลับมาเยือนอีกครานะครับ -_-"

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...