Post#2-297:
ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ไปทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่น่านับถือท่านหนึ่ง
ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ไปทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่น่านับถือท่านหนึ่ง
แม้ผมจะได้พบท่านเป็นครั้งแรก แต่ท่านก็ให้ความเอ็นดูและเป็นกันเองเป็นอย่างยิ่ง เหตุเพราะคนที่พาผมไปพบเป็นคนทึ่ท่านให้ความสนิทชิดเชื้อเป็นอย่างดี
ผมถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่า connection มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำธุรกิจ ถ้ารู้จักคนที่ใช่ เค้าก็จะสามารถพาเราเข้าช่องทางที่ถูกต้องได้โดยไม่หลงทาง
...
ตอนหนึ่งของการสนทนา...ท่านคุยให้ฟังถึงเรื่องแนวคิดที่ว่าด้วยความสุขในเรื่องของการทำงาน และท่านได้กรุณาแชร์ให้ฟังว่า ทำงานต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง ขืนถือไว้ทุกเรื่องมีหวังอกแตกตาย
ถ้ามัวแต่ถือสา แต่ละวันของเราก็จะหมดไปกับการหาความ ตรงกันข้ามถ้าเรารู้จักปล่อยวางซะบ้าง ชีวิตของเราก็จะไม่ได้มัวจับอยู่กับความทุกข์ให้ใจเราเศร้าหมอง
อีกตอนหนึ่งของการสนทนา ผมถามท่านว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของท่าน ท่านมีความสุขในช่วงไหนมากที่สุด...ก่อนผมจะเล่าต่อ ลองถามคำถามเดียวกันนี้กับตัวเองดูมั๊ยครับ? ผมให้เวลา 5 นาที
...
คำตอบของท่านทำให้ผมเพิ่มความนับถือมากขึ้นไปอีกครับ เพราะท่านบอกว่า "สำหรับผม ผมมีความสุขทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมา แม้ขณะที่นั่งอยู่นี้ ผมก็มีความสุขมากๆ"
แปลว่าชีวิตของท่าน ขึ้นอยู่กับปัจจุบันขณะเป็นประการสำคัญ...เมื่อท่านไม่เอาใจไปจับอดีต ไม่มัวพะวักพะวนอยู่กับอนาคต ท่านจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ถึงเพียงนี้
การไม่เอาใจไปจับกับอดีตหรืออนาคตนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ต้องใส่ใจที่จะเรียนรู้จากอดีต หรือเราไม่จำเป็นที่จะวางแผนการสำหรับอนาคต
เราคิดถึงอดีตได้ เราวางแผนอนาคตได้ หากแต่ไม่ใช่มากจนขนาดทำให้เราจมปลักอยู่กับความสำเร็จในอดีต และไม่ใช่มากจนทำให้เรากลายเป็นพวกเก่งแต่เพ้อฝัน
คิดถึงอดีต...ต่างจากโหยหาอดีต
วางแผนอนาคต...ต่างจากฝันเฟื่อง
ปล่อยวาง...ต่างจากปล่อยปละ
และยึดมั่น...ต่างจากยึดติด
คนที่ปล่อยวางได้...จึงบรรลุสัจธรรมที่ว่า สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว...และยิ้มให้กับชีวิตได้ ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าก็ตาม
Comments
Post a Comment