Post#2-302:
หลายเดือนมานี้ ผมต้องรับทั้งศึกนอกและศึกในแบบที่เรียกว่าหนักหนาสาหัสแทบไม่เว้นแต่ละวัน
ศึกนอกก็คือสภาพเศรษฐกิจ ส่วนศึกในก็คือคนในองค์กรเดียวกันนั่นเอง
เรื่องสภาพเศรษฐกิจก็ต้องติดตามกันไป ต่อสู้กันต่อไป ให้กำลังใจกันไป เป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
แต่เรื่องคนในนี่สิ ทำให้พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เดี๋ยวคนนั้นเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวคนนี้เป็นแบบโน้น เดี๋ยวลูกน้องทะเลาะกัน เดี๋ยวผู้ถือหุ้นจะงอแง
นึกแล้วก็อยากจะผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอก ไม่ก็เอาหัวโขกเต้าหู้ให้ตายไปเลย ^^
...
ที่จริงแล้ว ผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มีทั้งคนที่นำเรื่องดีมาให้ และมีทั้งคนที่นำเรื่องแย่ๆ มาฝากเรา...ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องสามัญเหลือเกินของชีวิต
ในวันหนึ่งๆ เราเจอผู้คนมากมาย เราเจอะเรื่องราวมากมาย เราห้วเราะ เราร้องไห้ เราสุข เราทุกข์ และเรามีการตอบสนองต่อผู้คนด้วยอารมณ์ต่างๆ กัน
ดูเหมือนทางเดียวที่เราจะเลี่ยงความเดือดเนื้อร้อนใจเหล่านี้ได้ ก็คือต้องหลบลี้หนีหน้าไปปลีกวิเวกโดดเดี่ยวในป่าในดง หรือไม่ก็ต้องยกระดับจิตเข้าสู่โลกุตระไปเสียเลย
ความเป็นจริงเราคงทำได้ยาก เพราะเราเป็นสัตว์สังคม ยังต้องพบเจอคนอื่น ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์ให้เกิดวัฏจักรแห่งกรรมต่อเนื่องอย่างหาที่สิ้นสุดได้ยาก...เว้นแต่เข้าโลกุตระอย่างที่ว่า
...
ในเมื่อชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราคงต้องทำใจยอมรับให้ได้ ว่านี่แหละหนอ "คน"
ฝรั่งเองก็มีคำกล่าวคล้ายๆ อย่างนี้เหมือนกัน เค้าว่าไว้ว่า...
"Some people come in your life as blessings. Some come in your life as lessons." แปลว่า "คนบางคนเข้ามาในชีวิตเราเพื่อเป็นของขวัญ แต่คนบางคนเข้ามาเพื่อเป็นบทเรียน"
เราเองก็อาจเคยเป็นของขวัญสำหรับบางคน และอาจเคยเป็นบทเรียนสำหรับอีกคนด้วยเช่นกัน ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่า เราไม่สามารถเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
ผมเห็นด้วยครับ ว่าเราไม่มีทางรู้ว่า คนที่เข้ามาจะเป็นของขวัญหรือเป็นบทเรียน...แต่ผมเชื่อว่า เราเลือกที่จะทำตัวเป็นของขวัญหรือบทเรียนได้...
แม้เราจะเป็นแบบใดแบบหนึ่งไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์...แต่ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ว่าควรเลือกเป็นแบบไหนให้มากกว่า
Comments
Post a Comment