Post#2-315:
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคุยกับทั้งเพื่อนรุ่นพี่และรุ่นน้องหลายๆ คน
แต่ละคนล้วนมาจากต่างวัย ต่างธุรกิจ และต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไป บ้างก็เป็นปัญหาเรื่องมุมมอง บ้างก็เป็นปัญหาเพื่อนร่วมงาน บ้างก็เป็นปัญหาที่อยู่นอกเหนือการควบคุม, ฯลฯ
หากแต่ทุกๆ คนที่มาคุยกับผม เพราะเค้าแสวงหาอะไรบางอย่างที่พวกเค้าคาดหวังว่าผมน่าจะมีให้ได้...อะไรบางอย่างที่ว่า เป็นสิ่งที่ยิ่งให้เราก็ยิ่งมีเพิ่มเติม อะไรบางอย่างที่ว่า ก็คือ "กำลังใจ"
...
หากอาหารเป็นสิ่งเติมพลังกาย กำลังใจก็คืออาหารที่ขับเคลื่อนหัวใจ...ซึ่งผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า แต่อาหารกายคงไม่พอที่จะพาเรามาถึงวันนี้ มันจะต้องมีอาหารใจหล่อเลี้ยงด้วย
เมื่อเรามีรสนิยมในด้านอาหารกายแตกต่างกัน จึงไม่แปลกที่จริตในการรับอาหารใจจะผิดแผกแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
เวลาเติมอาหารใจให้ใคร จึงต้องเข้าใจสภาวะจิตและอารมณ์ที่คนๆ นั้นถือครองในขณะนั้นให้ดีด้วย...
ช่วงที่คนเราต้องการกำลังใจมักเป็นช่วงที่สภาพจิตใจอ่อนแอและพลังความคิดอ่อนด้อย เราพูดผิดหูไป แทนที่จะเป็นการเติมกำลังใจ จะกลับกลายเป็นการไปซ้ำเติมเค้าโดยไม่ตั้งใจ
...
ผมไม่อาจฟันธงได้ ว่าการเติมกำลังใจที่ดีต้องทำยังไงบ้าง...ผมเพียงบอกได้อย่างเดียวว่า หัวใจสำคัญของการเติมกำลังใจนั้น ไม่ได้อยู่ที่การพูดให้มาก หากแต่อยู่ที่ "การฟังให้เป็น" มากกว่า
อย่างที่เคยแชร์ให้ฟังแล้ว บ่อยครั้งคนที่ต้องการคำปรึกษาหรือต้องการกำลังใจนั้น เค้าแก้ปัญหาชีวิตได้เพียงแค่มีใครสักคนที่เค้าเชื่อใจอยู่ข้างๆ เท่านั้นเอง
แค่ฟังเค้าพูด มองตาเค้า ตบไหล่เค้า ลูบหัวปลอบใจ บีบมือเค้าแน่นๆ หรือแค่บอกเค้าว่า "เค้าต้องผ่านมันไปได้"
...
สำหรับผม...ความดีงามของการเติมกำลังใจให้กับผู้อื่น ก็คือกำลังใจที่เติมนั้น มักไหลกลับมาเติมให้ตัวเราเองด้วยอย่างน่าอัศจรรย์
ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายเติมหรือฝ่ายรับกำลังใจก็แล้วแต่...สิ่งหนึ่งที่เราควรระลึกและขอบคุณอยู่เสมอก็คือ มันเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า "เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก"
ขอบคุณทุกกำลังใจและความช่วยเหลือที่เคยได้รับ และขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้พี่ๆ น้องๆ ทุกคน ก้าวผ่านอุปสรรคที่เผชิญอยู่ไปได้ด้วยดีนะครับ
Comments
Post a Comment