Post#2-308:
ผมพบว่า หลายต่อหลายคนแยกไม่ออกระหว่าง ขี้เกียจทำ กับ ทำจนเหนื่อย
โดยตัวมันเองก็ชัดอยู่แล้ว ว่าเป็นคนละเรื่อง แต่ทำไมก็ยังมีหลายคนที่ยังแยกแยะไม่ได้
แต่แม้มันจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน หากแต่ผลลัพธ์ก็อาจเหมือนกันได้ คืองานไม่เสร็จ
...
พวกแรก พวกขี้เกียจทำ ก็จะหาสาเหตุมาอ้างสารพัดสารเพ ป่วยบ้าง, ยกบ้าง, ไม่เข้าใจบ้าง เพื่อที่จะเอามาสนับสนุนตัวเองว่า ทำไมจึงไม่ยอมลุกขึ้นมาทำงานชิ้นนี้ให้ลุล่วง
พวกหลัง พวกทำจนเหนื่อย แบ่งออกได้อีก 2 กลุ่มย่อย คือ พวกไม่วางแผนแล้วทำมั่วๆ ลุยถั่วไปเรื่อย สุดท้ายแล้ว งานก็ไม่สำเร็จลุล่วง เรียกว่าเหนื่อยฟรี กับอีกพวก คือวางแผนแบ่งงานดีแล้ว แต่โชคร้ายที่พรรคพวกเบี้ยวงาน ลงท้ายเลยต้องก้มหน้าก้มตาทำคนเดียว สุดท้ายก็เลยทำงานนั้นไม่สำเร็จ
ถ้าให้ผมฟันธง ผมบอกไม่ได้จริงๆ ว่าในโลกเรานี้ พวกไหนมีมากกว่ากัน?
...
หนึ่งในปัญหาคลาสสิคที่ผู้บริหารทุกยุคสมัยต้องเจอ ก็คือปัญหาลูกน้องฉลาดแต่ขี้เกียจ กับลูกน้องโง่แต่ขยัน...
ลูกน้องทั้งสองแบบต่างสร้างความเสียหายให้กับองค์กรได้มากเป็นอย่างยิ่ง มากหรือน้อยต่างกันตามกรรมและวาระ
โจทย์คือทำยังไงให้กลุ่มที่ขี้เกียจเกิด passion และ inspiration ที่จะทำ และทำยังไงให้กลุ่มที่ขยันต้องรู้จัก goal และ planning ให้ชัดเจนก่อนลงมือ
ไม่ว่าจะเป็นพวกฉลาดแต่ไม่ทำ หรือพวกสักแต่ทำแบบทื่อๆ ก็เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะพลิกตำราในการขัดเกลาให้พวกเค้ากลับมาเป็นกำลังสำคัญขององค์กรให้ได้
...
ถ้าถามผมว่า กลุ่มไหนแก้ไขได้ง่ายกว่ากัน ผมตอบได้ทันทีว่า กลุ่มที่สองง่ายกว่าเล็กน้อย
ถ้าถามผมต่อว่าทำไม...คำตอบนั้นก็เพราะ การเปลี่ยน attitude ของคนนั้นทำได้ยากมาก...
เพราะ Attitude เป็นเรื่องของวิธีคิดด้วยสมองบวกกับความเชื่อด้วยหัวใจ...แม้เราจะทำให้สมองเค้าเข้าใจ แต่เราก็ไม่อาจบังคับให้ใจเค้ายอมรับได้
ส่วนกลุ่มที่สองนั้น ต้องถือว่ามี attitude ที่อยากจะทำอยู่แล้ว แค่เพียงกำหนดทิศทางให้เค้าเดิน และหมั่นเช็คบ่อยๆ ก็พอช่วยได้
กลุ่มแรก ผู้บริหารต้องทุ่มกำลังใจ ส่วนกลุ่มหลังต้องใช้กำลังกาย...
กำลังกาย เติมพลังได้ด้วยอาหาร หาได้ไม่ยาก เติมได้บ่อยๆ...ส่วนกำลังใจ เติมพลังด้วยความเข้าใจ หาได้ไม่ง่าย และเหือดหายไวมาก
ไม่มีอะไรจะบอกมากไปกว่า...สู้ๆ นะครับ ^^
Comments
Post a Comment