Post#2-316:
ความจริงเราก็คุยกันบ่อยอยู่เหมือนกันนะครับ ในเรื่องของการเป็นผู้รับและผู้ให้ (Post#2-126 และ Post#2-174)
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายให้หรือเป็นฝ่ายรับก็แล้วแต่ เราต่างมีสิ่งที่ต้องทำต่อจากการให้และการรับนั้น เพื่อให้การเป็นผู้ให้และผู้รับนั้น เกิดความสุขและเป็นเนื้อนาบุญกับทั้งสองฝ่าย
ในที่นี้ผมจึงหมายถึงการให้ในสิ่งดีๆ และการรับในสิ่งดีๆ เท่านั้นนะครับ ส่วนกรณีการให้และการรับในทางที่ไม่ดีนั้น ผมไม่ได้นำมารวมอยู่ด้วย
...
ผมจั่วเปิดหัวเป็นคำถามไว้แล้วที่ชื่อตอนของ Post, เมื่อให้แล้ว...อย่าอะไร? และเมื่อรับแล้ว...อย่าอะไร?
แม้จะไม่ใช่กฎเหล็กของการเป็นผู้รับและผู้ให้ แต่เมื่อผมได้อ่านคำตอบ...ก็ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่า หากทำได้เช่นนี้ ก็นับว่าทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นผู้รู้จักการให้และการรับโดยแท้
ว่าแล้วก็ลองคิดตามกันดูมั๊ยครับ ผมรบกวนเวลาแค่ 5 นาทีก็พอ ^^
...
คำตอบก็คือ...
"เมื่อให้แล้ว...อย่าจำ
เมื่อรับแล้ว...อย่าลืม"
การให้ที่ดี จึงควรเป็นการให้โดยไม่ต้องไปคาดหวังหรอกครับ ว่าจะได้อะไรตอบแทนหรือไม่ เราควรสุขใจทันทีที่ได้ให้มากกว่า
ส่วนคนที่เป็นผู้รับ หากเป็นผู้มีสำนึกที่ดี ก็ไม่ควรลืมไมตรีหรือบุญคุณที่ได้รับ หากมีโอกาสและวาระอันควร ต้องไม่ลืมที่จะตอบแทนไมตรีที่ได้รับให้จงได้
...
เมื่อให้โดยคาดหวัง...แล้วไม่ได้กลับคืน...จึงเป็นเหตุให้ทุกข์ใจ
เมื่อรับโดยไม่มีสำนึก...จึงยากจะได้รับไมตรีที่เที่ยงแท้และยั่งยืน...นี่ก็เป็นทุกข์
หากเราเปลี่ยนวิธีคิดจาก "สิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย" ให้กลายเป็น "แม้ตายก็จะไม่ลืมบุญคุณ" โลกนี้คงจะน่าอภิรมย์มากขึ้น
สุขใจที่ได้ให้...จารึกไว้เมื่อได้รับ ให้แล้วอย่าจำ...รับแล้วอย่าลืม ^^
Comments
Post a Comment