Skip to main content

Post#2-310: งานแบบขอไปที

Post#2-310:
ประมาณ 2-3 วันที่แล้ว ผมพึ่งจะคุยกับลูกน้องไปว่า อย่านำเสนองานแบบขอไปที

งานอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดและกลั่นกรองที่ดีแล้ว งานนั้นก็มีแต่เปลือกแต่ไม่มีเนื้อใน

แม้ดูภายนอกจะไม่รู้ แต่เมื่อไหร่ที่ลอกเปลือกออกก็จะเห็นความจริง...ถ้างานดี ทั้งเปลือกนอกก็จะสวยงาม เนื้อในก็จะล้ำค่า แต่ถ้าหากงานเผา เปลือกอาจจะสวย แต่เนื้อในไม่ค่อยมีแก่นสารให้จับต้อง

...

งานที่ผ่านการคิดมาดีแล้ว จึงมีมิติที่ลึกกว่า สอบทานที่มาที่ไปได้ดีกว่า รู้ว่าทำอะไร ทำเพื่ออะไร ทำยังไง และต้องทำเมื่อไหร่

ส่วนงานที่เผามา จะไม่ค่อยมีแก่นที่เชื่อมโยงที่มาที่ไปได้ชัดเจน ทำอะไรพอตอบได้ ทำเพื่ออะไรไม่แน่ใจ ทำยังไงไม่รู้ และทำเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

งานที่ผ่านการคิดมาดี เจ้าของงานมักไม่ต้องนั่งท่องจำ เพราะการคิดงานมาอย่างเป็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอน จะทำให้ทุกอย่างแจ่มชัด เราจึงจำได้โดยอัตโนมัติ

ส่วนงานที่เผามา เจ้าของงานมักจำสับสน ตอบคำถามในรายละเอียดไม่ได้ และขั้นตอนต่างๆ ของงานมักจะไม่ปะติดปะต่อกัน เรียกว่าคิดมาคร่าวๆ ก็เลยอธิบายได้แค่ผิวเผิน ไม่สามารถทำเป็นแผนปฏิบัติงานได้ ว่าอย่างนั้น

...

งานต่างๆ หากเป็นงานใหม่ๆ จึงจำเป็นต้องตกผลึกให้ดีในระดับหนึ่งก่อน อย่างน้อยจะต้องลงรายละเอียดไปถึงขั้นกำหนดกระบวนการทำงานได้ เพื่อให้สามารถรู้ได้ชัดว่า จะเดินไปถึงเป้าหมายได้ยังไง

แต่ก็ใช่ว่า งานประเภทจำเจ (Routine Job) เราจะทำเช้าชามเย็นชามได้นะครับ เพียงแต่กระบวนการหลักๆ เราคงไม่ต้องปรับเปลี่ยนมากนัก แต่ขั้นตอนปลีกย่อยนั้น เราต้องพิจารณาว่า สามารถที่จะปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมได้มั๊ย

ในระดับประเทศแล้ว ผลลัพธ์ของงานไม่มีคำว่าดีที่สุดนะครับ มีแต่ว่าจะทำให้ดีกว่าเดิมยังไงบ้าง...บางครั้งผลลัพธ์ที่ดีเลิศก็ไม่ได้เป็นผลลัพธ์ที่ดีเมื่อเวลาผ่านไป สภาพการแข่งขันเปลี่ยนไป หรือลูกค้าเปลี่ยนไป

...

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่า ผลงานของเราดีที่สุดแล้ว เราก็มักจะหยุดพัฒนา...ถ้าขึ้นเวทีด้วยความรู้สึกของคนที่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดแล้ว ก็มักจะลงจากเวทีด้วยความบอบช้ำ แม้ว่าสุดท้ายอาจจะเป็นผู้ชนะ...ก็แค่ชนะอย่างสะบักสะบอม

แล้วถ้าวันหนึ่งเราเป็นผู้ชนะที่ไร้พ่ายล่ะ เราจะแข่งกับใคร?

ตอบง่ายๆ...ก็มองกระจกสิครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...