Skip to main content

Post#4-080: อิสระภายใต้กรอบที่กำหนด

Post#4-080:
ระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่นเช้านี้ ผมใช้เวลาในการพูดคุยกับเพื่อนสนิท ถึงเรื่องราวต่างๆ...ตั้งแต่ update ชีวิตทั่วๆ ไป...จนกระทั่งถึงเรื่องวางแผนว่าจะไปเที่ยวไหนด้วยกันดี

คุยกันไปคุยกันมา ก็วกมาถึงเรื่องที่ว่า จะมี Project อะไรใหม่ๆ ที่เราน่าจะทำร่วมกันได้ บ้างมั๊ยหนอ?

แรกๆ ก็คุยกันแบบฟุ้งๆ...แต่พอคุยไปคุยมาก็ชักจะเข้าเค้าและมีทรง...จนกลายเป็นการคุยกันแบบจริงจัง และลงท้ายด้วยการสุมหัวทำแผนคร่าวๆ ลงบน Laptop นั่นเลย ^^

...

กว่า 20 ปีที่ทำงานมา...ผมพบว่า ส่วนใหญ่ Idea ใหม่ๆ ทางธุรกิจ ก็มักจะแวะมาหายามที่ไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้นี่เอง

แล้วเป็นเหมือนผมมั๊ยครับ...ที่พอเวลาตั้งใจเค้นสมองแทบตาย...บ่อยครั้งที่กลับไม่ได้อะไรเลย

ราวกับว่า สมองกำลังส่งสัญญาณมาเตือนเรา ว่า "อย่ามาบังคับกันนะ...ให้อยู่ในอารมณ์สบายๆ แล้วฉันจะบอกเธอเอง"...ประมาณนั้น

...

แต่จริงๆ แล้ว...แบบไหนเป็นวิธีการใช้สมองเพื่อ "ตกผลึกความคิด" อย่างถูกวิธีกันแน่นะ?

อย่ากระนั้นเลยครับ...ก็ลองคิดหาเหตุผลกันดูสักหน่อย ดีมั๊ยครับ?

เอ้า! ผมให้เวลา 10 นาทีเลย ^^

...

ผมเองก็ไม่ทราบว่าคนอื่นทำยังไงหรอกนะครับ...และผมก็เชื่อว่า ไม่มีวิธีไหนที่ถูกต้องและเหมาะกับเราแบบ 100% อย่างแน่นอน

แต่สำหรับผม...ผมจะคิดแบบถอยหลังจากผลลัพธ์ที่ต้องการ มาหากระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องทำ และปิดท้ายด้วยการคิดถึงปัจจัยที่ส่งผลให้กระบวนการและผลลัพธ์นั้นๆ เป็นไปได้

ลองยกตัวอย่างแบบนี้ดีกว่าครับ...

ตราบใดที่ยังมองไม่ออกว่า เราอยากไปไหน...ก็ยากที่จะคิดออกว่าจะไปถนนเส้นไหน...และตราบใดที่ยังนึกไม่ออกว่าจะใช้ถนนเส้นไหน ก็เลยทำให้เรานึกไม่ออกว่า จะขับรถไปเอง, จะนั่ง Taxi หรือจะใช้ BTS

อีกตัวอย่างหนึ่งก็ได้ครับ...

เคยไปเดินจ่ายตลาดโดยที่ยังนึกไม่ออกว่า เย็นนี้ จะทำอะไรทานมั๊ยล่ะครับ?

เราก็เลยลงท้ายด้วยการซื้อทั้งหมู, ไก่, เนื้อ, ซื้อผักสารพัดชนิด, ซื้อเครื่องปรุงนั่น นู่น นี่ และซื้ออะไรต่อมิอะไรอีกร้อยแปด วุ่นวายไปหมด

เช่นกันที่ ถ้าเรายังนึกไม่ออกเอาจริงๆ ว่า เราอยากได้ผลลัพธ์ประมาณไหน ก็ยากที่จะคิดออกว่าเราจะต้องเลือกวิธีการทำงานแบบไหน และจะไม่มีทางมั่นใจได้ว่า เราจะต้องตระเตรียมอะไรบ้าง?

...

ดังนั้น เวลาคิดหรือหารือกันเรื่อง Idea ใหม่ๆ...เราจึงจำเป็นต้องพยายามสร้าง Framework (แปลได้ประมาณว่า "กรอบความคิด" นั่นเองครับ) ให้ได้เสียก่อน

ซึ่งแม้ว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาเริ่มต้นกับ Framework นานสักหน่อย...แต่รับรองว่า มันเป็นเรื่องคุ้มค่าอย่างแน่นอน

เพราะเมื่อมี Framework แล้ว...ก็จะทำให้เราคิดเป็นระบบมากขึ้น...อะไรที่ไม่อยู่ใน Framework  ก็ screen ออกไปก่อนได้ง่าย

...

กลับมาที่เรื่องว่า เราควรจริงจังหรือผ่อนคลายเวลาต้องการ Idea ใหม่ๆ...

สำหรับผมแล้ว...ผมจะเค้นสมองอย่างจริงจังในการสร้าง Framework ที่น่าพึงพอใจ ให้ได้เสียก่อน...

แต่หลังจากได้ Framework ที่ว่าแล้ว คราวนี้ ผมจะปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปแบบสบายๆ...แค่คอยให้สมองกำกับความคิดอย่าให้ออกนอก Framework จนเกินงามเท่านั้น

...

ปราศจาก Framework ก็เหมือนกับที่บางครั้งเราทะเลาะกับแฟน จนโกรธกัน และบ่อยครั้งที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำ...ว่าโกรธกันเรื่องอะไร -"-

เมื่อ Framework ชัด ความคิดจะล่องลอยยังไง ก็ยังไม่หลุดประเด็น...ส่วนจะแตกไปเป็นประเด็นใหม่นั่นเป็นอีกเรื่องนะครับ

เราก็ปล่อยให้สมองมีเวลาคุยกับความคิดไป...ถกกันไปถกกันมา ก็จะทำให้ความคิดเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจับต้องได้...

แต่ถ้าหากคุยกันแล้วเห็นว่า Framework ผิดหรือแคบเกินไป...ก็อาจจะมีการรื้อหรือขยายได้...ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดครับ

...สรุปง่ายๆ ว่า หากจะคิดอะไรก็ควรวาง Framework ให้ชัดเจน และปล่อยให้ความคิดล่องลอยใน Framework นั้น อย่างเป็นอิสระ นั่นเองครับ...

#Frameworkแข็งแรงIdeaก็แข็งแรง #คิดกับฝันก็ต่างกันเช่นนี้ #ความคิดเป็นตรรกะส่วนความฝันเป็นอารมณ์

Comments

  1. شركة نقل عفش بجازان افضل شركة نقل عفش بجازان نقوم بنقل الاثاث من والى جازان فى اى وقت سيارت مغلقة خدمة عملاء على اعلى مستوى من المهنية عمالة فلبينية ماهرة فى نقل الاثاث من والى جازان

    ReplyDelete

Post a Comment

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...