Skip to main content

Post#4-273: เดินทางแบบไร้จุดหมายไปในความมืด

Post#4-273:
บ่ายที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปรับฟังแผนธุรกิจขององค์กรแห่งหนึ่ง...ซึ่งนำทีมโดยคนรุ่นใหม่ไฟแรง

สำหรับผมแล้ว...แผนธุรกิจเป็นเส้นแบ่งที่ชัดเจนที่สุด ว่าสิ่งที่นำเสนอนั้น เป็น "ความฝัน" หรือ "เป้าหมาย"

ความฝันจะมีโอกาสเป็นจริงหรือไม่...จึงต้องขึ้นอยู่กับว่า เราเห็นเส้นทางไปสู่เป้าหมายชัดเจนหรือไม่?

...

ถ้าเขียนออกมาเป็นแผนชัดเจนไม่ได้...ก็คงต้องแสดงความเสียใจไว้ล่วงหน้าครับ ว่าโอกาสที่จะไปถึงจุดหมายของเรา ก็ค่อนข้างจะเลือนลาง

แต่ก็ใช่ว่า แม้เราจะเขียนความฝันออกมาเป็นแผนที่ชัดเจนได้แล้ว...จะหมายความว่า เราจะไปถึงจุดหมายได้อย่างแน่นอนนะครับ

เพียงแต่ถ้าเขียนเป็นแผนออกมาได้...ก็เปรียบเสมือน เรามี "แผนที่" อยู่ในมือ...

แปลว่า แม้เราอาจจะหลงทางไปบ้าง...แต่เราก็ "น่าจะมีโอกาส" หาทางไปต่อได้มากกว่า "ไม่มีแผนที่"

...

ที่สำคัญ การทำธุรกิจนั้น ต่างจากการเดินทางทั่วไปๆ ตรงที่ ถ้าหาก "หลง" ระหว่างทาง ขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็...

เราก็ไม่อาจจะหยุดเพื่อถาม "คนข้างทาง" ได้เลย...ว่าควรจะต้องเดินหน้าทางธุรกิจยังไงต่อ?

...

ดังนั้น ถ้ายังเขียนเป็นแผนออกมาไม่ได้...ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนออกเดินทาง

เพราะนั่นหมายถึงเรากำลังเดินทางแบบไร้จุดหมายไปในความมืด

หากว่าประเหมาะเคราะห์ซ้ำ...เกิดหลงทางขึ้นมาจริงๆ...จะไปเที่ยวถามใครดี?

...เพราะแม้กระทั่งตัวเราเอง เรายังบอกไม่ได้เลย ว่าเราเดินมาจากไหน แล้วกำลังจะไปไหน?...

#NoteToSelf: 

  • เพ้อฝันคือ "เขียน" ความฝันหรือเป้าหมาย ออกมาเป็น "แผน" ไม่ได้ ส่วนเพ้อเจ้อคือ "เขี่ย" แผนออกมาโดยไม่สอดรับกับความจริง
  • ขนาดมี "แผนที่" บางที เราก็ยังหลงทางได้เลย...แล้วทำไมเราถึงคิดว่าจะไม่หลงทิศหลงทาง เมื่อต้องออกเดินทางไปในความมืด...ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดหมายอยู่ที่ไหน?
  • ตอนที่ลืมตา...ยังเห็น "ความฝัน" ชัดอยู่มั๊ย?
  • ถ้าหลับตาก็เล่าความฝันไม่ถูก, ลืมตาก็อธิบายความฝันไม่ได้...ตัวเรายังกล้าเชื่อตัวเองได้อีกหรือ ว่าเราไม่ได้เป็นพวก "ดีแต่ฝัน"?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...