Skip to main content

Post#4-292: หน้ากากสังคม

Post#4-292:
ผมเคยต้องทำงานที่ต้องพบปะและคลุกคลีกับบุคคลที่มีตำแหน่งใหญ่โต ไปจนถึงชนชั้นสูงในสังคม ที่เรามักเรียกกันว่า "ไฮโซฯ" อยู่นานหลายปี

ดังนั้น จึงคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการที่ต้อง "ปั้นหน้า" หรือ "สวมหน้ากาก" เข้าหากัน

ต้องสนทนาวิสาสะ ทั้งๆ ที่ในใจไม่ได้ยินดี, ต้องโอภาปราศรัย ทั้งๆ ที่รู้ดี ว่าอีกฝ่ายคิดกับเรายังไง หรือหวังผลประโยชน์อะไรจากเรา

ยังไงก็ตาม ก็ใช่ว่าในกลุ่มไฮโซ จะไม่มีคนดีอยู่เลยนะครับ...ไฮโซที่เป็น "ผู้ดี" ตั้งแต่ชาติตระกูล, กิริยามารยาท, วิธีพูด รวมไปถึงวิธีคิด ก็มีอยู่ไม่น้อย

...

มาวิเคราะห์ดู...นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ชอบไปออกงานสังคมหรืองานสังสรรค์ที่มีคนใหญ่คนโตมารวมกันอยู่มากๆ ก็เป็นได้

นอกจากผมจะไม่ค่อยชอบปั้นหน้าแล้ว ก็ยังไม่ชมชอบกับการอยู่ในที่ๆ บรรยากาศมีความปั้นปึ่งและห่างเหิน เพราะคนในงานมักจะ "วางท่า" เข้าใส่กัน อีกด้วย

ดังนั้น ถ้าหลบได้ผมก็จะหลบ ถ้าเลี่ยงได้ผมก็จะเลี่ยง...เรียกว่า ถ้าไม่จำเป็นถึงขีดสุด จะไม่เจอผมอยู่ในงานแน่ๆ

...

ยังไงก็ตาม บางครั้งความจำเป็นก็ทำให้ผมและคนที่คิดคล้ายๆ ผม ไม่อาจหลีกงานลักษณะนี้ได้

ดังนั้น การบอกตัวเองให้ต้องรู้จักการปั้นหน้าหรือวางตัวในสังคม จึงเป็นเรื่องไม่อาจจะเลี่ยงได้

เรื่องชอบหรือไม่ชอบ เป็นเรื่องหนึ่ง...ส่วนเรื่องควรทำหรือไม่ควรทำ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตราบเท่าที่เรายังเป็น "สัตว์สังคม"...เราก็ไม่อาจยกเรื่องที่เรา "ไม่ชอบ" มาเป็นเหตุผลที่เราจะ "ไม่ทำ" เรื่องที่ควรทำ ได้

...

เมื่อผ่านชีวิตมาไม่น้อย...ผมพบว่า บางครั้ง การ "ทน" ในสิ่งที่เราไม่ชอบ ก็เป็นการ "ฝึกฝน" ตัวเอง ที่ดี อย่างหนึ่ง

เรียกว่า สถานการณ์หรือผู้คนที่ทำให้เราอึดอัด ก็อาจใช้เป็นตัววัด "Maturity" ในตัวเรา ได้เป็นอย่างดี

ยิ่งสถานการณ์ยิ่งยาก ยิ่งต้องเผชิญกับคนที่เราไม่ชอบมากเท่าไหร่...หากเราข้ามไปได้ ก็ย่อมหมายถึง เราได้ "เติบโต" ขึ้น ไปอีกระดับ

...เมื่อเหล็กดีต้องผ่าน "ไฟ" ฉันใด...จะเติบใหญ่อย่างสง่า ก็ย่อมต้องผ่าน "บททดสอบ" ฉันนั้น ครับ...

#NoteToSelf: 

  • เมื่อต้องสวม "หน้ากาก" ก็ให้รู้ว่าเป็น "หน้ากาก"...เมื่อหมดเวลา ก็ถอด "หน้ากาก" นั้นเสีย อย่ายึดติด
  • เป็นการดีแน่ ที่ได้เป็นตัวของตัวเอง...แต่การได้สวมบทเป็นคนอื่นบ้าง ก็ทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ เช่นกัน
  • จะเติบโตขึ้น ต้องรู้จักฝึกตนให้ "อด" ในสิ่งที่ชอบ และ "ทน" ในสิ่งที่ไม่ชอบ ให้ได้

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...