Skip to main content

Post#4-284: เที่ยวละไมในกรุงย่างกุ้ง

Post#4-284:
ผมมากรุงย่างกุ้งเที่ยวนี้ มีน้องสาวและเพื่อนรุ่นพี่ พร้อมลูกสาวของเธอตามมาด้วย

หลังจากเมื่อวาน พาพวกเค้าไปประชุมเพื่อให้เห็นภาพธุรกิจในกรุงย่างกุ้งแล้ว...วันนี้ก็เลยจ้างไกด์พาพวกเธอไปตระเวณเที่ยว โดยผมอาสาเป็นตากล้องให้

จะว่าไป กรุงย่างกุ้ง ก็มีที่เที่ยวไม่น้อย แต่จะหนักไปทางวัดหรือเจดีย์เสียล่ะมากกว่า

...

เราเริ่มทริปตั้งแต่ 9 โมงเช้า ไล่ตั้งแต่ไปไหว้เทพทันใจ และเทพกระซิบ (เสียค่าเข้า คนละ 8,000 จ๊าด) ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยมากเหลือเกิน

ความจริงที่นี่ มีพระเกศาธาตุของพระพุทธองค์ประทับอยู่ ในเจดีย์องค์กลาง (Hair Relic Botatuang Pagoda) ซึ่งให้เราเดินเข้าไปชมได้...แต่กลายเป็นว่าคนไทยเรากลับนิยมมาเพื่อสักการะเทพทันใจกับเทพกระซิบเสียมากกว่า

ผมเคยถามเพื่อนชาวพม่า...ไม่ยักจะมีใครรู้เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของทั้ง 2 เทพนี้ สักเท่าไหร่...ก็แล้วแต่ศรัทธาของใครของมันนะครับ

...

หลังจากแก๊งสาวๆ ขอพรกันอย่างพอใจแล้ว...เราก็ไปเดิน "ตลาดสก๊อต" ที่ตอนนี้รัฐบาลพม่าตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "ตลาดนายพลอองซาน"...อารมณ์คล้ายๆ ไปเดินตลาดจตุจักร แต่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก

ของขายก็เป็นพวกอัญมณี, เครื่องประดับ, ผ้านุ่ง, เครื่องจักสาน แล้วก็ของกระจุกกระจิกทั่วไป

เสร็จจากตลาดสก๊อต...เราก็ไปสักการะ "พระตาหวาน" (Chaukhtatgyi Buddha Temple) ที่เป็นพระปางไสยาสน์ขนาดใหญ่มาก

ผมทดลองเดินจากปลายพระบาทไปจนถึงพระเศียร...ใช้เวลามากถึง 45 วินาที ด้วยองค์พระมีขนาดยาวถึง 175 ฟุต

แอบพยักหน้าเห็นด้วย ว่าพระเนตรขององค์พระนั้น "หวาน" เอาจริงๆ จังๆ ครับ

...

จากนั้น เราก็แวะไปทานข้าวกลางวันก่อน เพราะกลัวว่าเที่ยงคนจะเยอะ...มื้อนี้ เราฝากท้องกับร้านอาหารจีน ที่เป็นที่นิยมของ Group Tour ชื่อร้าน Golden Duck

แน่นอนว่า มาแล้วก็ต้องสั่ง "เป็ด" มาชิมเสียหน่อย...แล้วก็มีหมูพะโล้ (เคาหยก), ปลาราดพริก และผัดผักบุ้ง ที่อร่อยจนต้องเบิ้ล 2

โดยรวมรสชาติอาหารไม่แย่ครับ...แต่กลับกลายเป็นว่า ชาวคณะไม่ได้ประทับใจกับ "เป็ด" กันสักเท่าไหร่ ^^

...

ช่วงบ่าย เราก็มุ่งหน้าไปที่สัญลักษณ์แห่งกรุงย่างกุ้ง ซึ่งก็คือ "เจดีย์ชเวดากอง" อันเลื่องชื่อ

อันว่า "ดากอง" นั้น เป็นชื่อเดิมของกรุงย่างกุ้ง นั่นเองครับ...ส่วน "ชเว" นั้น ก็แปลว่า ทอง

ผมมาที่เจดีย์ฯ นี้ ไม่ต่ำกว่า 6-7 ครั้งแล้ว...แต่มาทีไร ก็ชื่นชมในความยิ่งใหญ่ขององค์เจดีย์ไปเสียทุกที (เสียค่าเข้า คนละ 8 USD)

เราใช้เวลาที่ชเวดากองไม่นาน เพราะอากาศร้อนเหลือเกิน...ผมแนะนำว่า มาตอนกลางคืนจะดีกว่ากลางวัน รวมไปถึงถ่ายรูปเจดีย์จะออกมาสวยกว่าด้วยครับ

...

เสร็จจากชเวดากอง...เราก็มุ่งหน้าต่อไปยังที่หมายสุดท้ายของวัน ซึ่งก็คือ "พระหินอ่อน" (Marble Buddha) ซึ่งอยู่ระหว่างทางที่จะไปสนามบิน พอดี

ก่อนจะไปยังที่หมายสุดท้ายนี้...เราแวะไปดู "ช้างเผือก" ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้กัน แค่ข้ามถนนเท่านั้นเอง...ก็เหงาๆ หน่อยครับ เพราะมี "ช้างเผือก" อยู่เพียงเชือกเดียวเท่านั้น

สำหรับ "พระหินอ่อน" นั้น ได้ความรู้จากไกด์ว่า มีการขุดเจอหินอ่อนขนาดยักษ์นี้ ได้จากเมืองมัณฑะเลย์

องค์พระที่ถูกแกะสลักแล้ว มีขนาดใหญ่จนเหลือเชื่อครับ และมีลวดลายของหินที่สวยงาม...แต่ผมว่า Highlight สำคัญ ขององค์พระน่ะ อยู่ที่ "ด้านหลัง" มากกว่า

ซึ่งใครอยากรู้ว่า Highlight ที่ว่าคืออะไร...ผมอยากเชิญมาทัศนาเอง จะดีกว่า

...

สำหรับผมแล้ว สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดสำหรับการไปเยี่ยมชมและสักการะวัดหรือเจดีย์ทุกๆ แห่งนั้น ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นชาวพม่าหรือนักท่องเที่ยว ก็ตาม...

ก็จะต้องถอดทั้งถุงเท้าและรองเท้า ก่อนเข้าไปยังบริเวณวัดหรือเจดีย์...โดยไม่มีข้อยกเว้น

นี่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาอย่างยาวนาน และชาวพม่าต่างให้ความสำคัญและต้องการอนุรักษ์ไว้อย่างเหนียวแน่น

กระซิบอีกทีว่า ชาวพม่าส่วนใหญ่น่ะ...เข้าวัดหรือเจดีย์บ่อยกว่าเดินห้างเสียอีกนะครับ

...โดยรวมแล้ว นอกจากกรุงย่างกุ้ง จะเป็นเมืองที่ผมมาทำงานบ่อยๆ...ก็ยังมีความน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวไม่น้อยเลยครับ...

#NoteToSelf: 

  • ไปชเวดากองทุกครั้ง ก็ตื่นตาตื่นใจทุกครั้ง...ยิ่งเห็นชาวพม่าร่วมกันกวาดพื้นและนั่งสวดมนต์ ยิ่งทึ่งในพลังศรัทธา
  • ต่อไป Group Tour ของคนไทย...คงจะมีการจัดทัวร์ "ไหว้พระ 9 วัด" ในกรุงย่างกุ้ง เป็นแน่...ไปวัดไหน ก็เจอคนไทย
  • แปลกที่ไม่ค่อยเจอคนไทยไปนั่งสวดมนต์ไหว้พระ...ส่วนใหญ่เจอแต่ไปถ่ายรูป...เอ๊ะ! หรือเราคิดไปเอง?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...