Post#5-001:
ทุกคนต่างก็ทราบว่า "ความตาย" เป็นปลายทางที่เราไม่อาจหลีกหนีได้พ้น...ช้าหรือเร็ว เราก็จะต้องเดินทางไปถึง
และแม้ว่าความตายจะเป็นเรื่องธรรมชาติ...แต่ผมก็ยังอดรู้สึกเศร้าไม่ได้ เมื่อต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป
อย่างวันนี้ ผมก็มาปรากฏตัวอยู่ในงานสวดศพของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายคุณพ่อ...ซึ่งท่านให้ความเอ็นดูและเมตตากับผมและครอบครัวมาตั้งแต่จำความได้
...
ทุกครั้งที่ญาติผู้ใหญ่เดินทางไปสวรรค์ ผมมีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่า "ร่มเงาของชีวิต" โดนลิดรอน
ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ หลานๆ ของใคร...ทุกคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน, มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เป็นความเคว้งคว้างและเศร้าสร้อย...ไม่ว่าจะทำใจล่วงหน้ามานานเท่าไหร่แล้วก็ตาม
เปรียบให้เห็นภาพชัดๆ...มันเหมือนว่าวที่โดนตัดสายป่าน ก็เลยปลิวสะเปะสะปะแบบไร้ทิศทาง ชีวิตจะไปทางไหนก็ไม่อาจรู้ได้เลย
...
หากถ้าเราเชื่อเรื่องชาติภพ, วิญญาณ หรือชีวิตหลังความตาย...
ผมก็ไม่คิดว่า ญาติผู้ใหญ่ที่จากไปของเรา จะยินดีที่เห็นเราจมอยู่ในกองทุกข์
...เพราะหากวิญญาณของท่านยังต้อง "มีห่วง" ข้างหลังแบบนี้...ก็เชื่อได้ยากว่า ท่านจะได้ไปสู่ "สุคติ" ตามที่เราเฝ้าภาวนาส่งท่านยามสิ้นลม
...
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยาก...แต่เราคงจะต้องแยกให้ออกระหว่าง "ความโศกเศร้า" กับ "การต้องพาชีวิตไปต่อ"
เพราะทางเดียวที่จะทำให้ท่านไปสู่ "สุคติ" ได้จริง...มีแต่การที่แสดงให้ท่านเห็นว่า เรามีชีวิตต่อไปได้โดยปราศจากท่าน แม้ว่ามันจะเป็นชีวิตที่มีความเศร้าอาบอยู่ก็ตาม
"ความเศร้า กับ "ความอ่อนแอ" ดูเผินๆ จึงคล้ายกัน แต่มันต่างกันมาก
ดังนั้น ถ้าอยากให้ท่านไปสู่ "สุคติ" ในสัมปรายภพ...จึงไม่ใช่การอยู่โดยลืมความเศร้าที่ท่านจากไป
...หากแต่เป็นการใช้ชีวิตโดยระลึกถึงท่าน และใช้ชีวิตต่อไปอย่างเท่าทันความเศร้า ต่างหาก...
#NoteToSelf:
- ท่านแค่เดินทางไปก่อนล่วงหน้า แล้ววันหนึ่งเราก็จะไปเจอท่านอีก...ดังนั้น หากวันนี้มัวแต่ฟูมฟาย...เมื่อไปเจอท่าน จะเล่าให้ท่านฟังอย่างภาคภูมิใช่มั๊ย ว่าลูกหลานของท่านมีชีวิตที่มัวแต่โศกาอาดูร?
- ฉะนั้น เศร้าได้...แต่อย่าอ่อนแอ, อาลัยได้...แต่อย่าฟูมฟาย และหมั่นระลึกถึง...ไม่ใช่มัวแต่นึกถึง
- มีชีวิตต่อไปอย่างสง่างาม จึงจะเรียกว่า ทดแทนพระคุณท่านได้แบบไม่เสียชาติเกิด
#กราบเท้าส่งอาม่าใหญ่ของตระกูลด้วยความอาลัยยิ่ง
Comments
Post a Comment