Skip to main content

Post#5-007: กลืนโทสะ

Post#5-007:
เมื่อวาน ผมมีเรื่องที่ถูกทำให้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง...จนเกือบจะตัดสินใจแตกหักกับบอร์ดบริษัทท่านหนึ่ง (สมมติชื่อ Mr.P นะครับ)

ผมไม่แน่ใจว่า ด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้ Mr.P มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกับงานที่ผมรับผิดชอบ

และแทนที่จะถามไถ่ไล่เรียงจากผม...Mr.P กลับเลือกที่จะส่ง email มากล่าวโทษผม และ cc บอร์ดบริษัทท่านอื่นๆ

...

เอาจริงๆ ทันทีที่อ่าน email นั้นจบ...ผมมีความรู้สึกเหมือนถูกแทง

ภาพแห่งความทุ่มเททำงานให้กับบริษัท ทยอยฉายออกมาซ้ำๆ ในหัวของผม...แล้วคำถามหนึ่งก็แว่บขึ้นมา ว่า 

"นี่ผมทุ่มเททำงานให้บริษัทฯ ไปเพื่ออะไรกัน?"

เคยเห็นภาพภูเขาไฟระเบิดที่พ่นลาวาออกมาอย่างรุนแรงมั๊ยครับ?...ความโกรธที่ผมมีก็ประมาณนั้นเลย

ใครที่รู้จักผมดี...ก็จะรู้ว่า การยั่วยุให้ผมมีโทสะ ก็ไม่ต่างจาก การดึงสลักลูกระเบิด นั่นเอง

...

ยังไงก็ตาม...ผมก็ยังมีสติมากพอที่จะแยกแยะได้ว่า บอร์ดบริษัทท่านอื่นๆ ก็คงไม่ได้เห็นคล้อยตาม Mr.P ไปทั้งหมด

ว่าแล้วผมก็ยกหูถึงบอร์ดบริษัทอีกท่านหนึ่ง (สมมติชื่อ Mr.C นะครับ)...แล้วก็เล่าให้ Mr.C ฟัง เพื่อให้มั่นใจว่า ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองด้วยความอคติและความโกรธ

Mr.C เข้าใจและขอให้ผมใจเย็นๆ และไปคุยกันในที่ประชุม จะดีกว่า

...

หลังจากส่ง email ชี้แจง Mr.P เสร็จ...ผมก็ประชุมกับทีมงาน เพื่อเตรียมข้อมูลในการใช้โต้ข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม

ขณะประชุมเตรียมข้อมูล...ผมก็ยังไม่หายโมโห และรู้เลยว่า ทีมงานทุกคนต่างก็รับรู้ถึง "พลังงานด้านลบ" ของผมได้เป็นอย่างดี

หลายคนส่งสายตาให้ผมด้วยความเห็นใจ...แต่ก็จนใจเพราะไม่รู้จะช่วยอะไรผมได้

...

เมื่อผมพร้อมก็เดินเข้าห้องประชุมด้วยความมั่นใจ...และแน่นอนว่า "พร้อมรบ"

ปรากฏว่า ยังไม่ทันได้รบ...Mr.P ก็ออกตัวเสียก่อน ว่าไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวโทษผม

และเมื่อหันไปอีกทาง...ก็เห็นสายตาของ Mr.C ที่สื่อมาประมาณว่า ให้เห็นแก่บริษัทเถอะ

ผมชั่งใจอยู่เพียงเสี้ยววินาที...คำตอบหนึ่งก็แว่บเข้ามาในห้วงคิด...

และผมก็เลือกที่จะ "กลืนโทสะ" เอาไว้ในอก...ว่าแล้ว ก็เริ่มประชุมบอร์ดบริษัท ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ระหว่างประชุม...ผมแอบยิ้มให้กับตัวเอง...ด้วยเพราะคำตอบที่แว่บเข้ามา ทำให้ผมรู้แล้วว่า "ผมทุ่มเททำงานให้บริษัทฯ ไปเพื่ออะไร?"

...

ที่ผมบรรยาย (หรือใครจะตีความว่า "ระบาย" ก็แล้วแต่ครับ) มาเสียยืดยาว...ก็เจตนาจะให้เป็นเรื่องเตือนใจ

เรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างของ Role Conflict ที่ชีวิตของเราต่างก็ต้องเจอ...

ถ้าผมมีแค่สถานะเป็นตัวผมเอง แน่นอนว่า ผมย่อมต้องตามใจตัวเอง และเลือกจะแตกหัก

แต่เพราะในฐานะ Chief Executive ที่มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย...ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดบริษัทท่านอื่น รวมไปถึงผู้ถือหุ้นท่านอื่นๆ ที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย

และที่สำคัญ ก็เพื่อทีมงานที่อยู่ข้างๆ เสมอ...ร่วมรับรู้ถึงความโกรธของผม...แต่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากไปกว่าบทบาทและขอบอำนาจที่มีอยู่

...

บ่อยครั้ง...ที่ชีวิตเราก็ต้องกับเจอความทุเรศแบบนี้

ต้องยอมลดลาวาศอกกับคนที่ทำผิดต่อเรา...เพราะเราจำต้องเห็นแก่คนรอบข้างทั้งหลาย ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการเลือกและการตัดสินใจของเรา

ผมจึงต้อง "ทิ้งความรู้สึกส่วนตัว" และ
"เลือกที่จะเดินหน้าต่อแทน"

...

ออกตัวก่อนครับ...ว่าผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเอง "แพ้"...ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกว่าตัวเอง "ชนะ" ด้วยซ้ำ

...ชนะความ "เห็นแก่ตัวเอง" และเลือกที่จะ "เห็นแก่ส่วนรวม"

...ชนะความเป็น "ตัวกูของกู" และเลือกที่จะ "ถอยเพื่อเดินไปข้างหน้า"

...ชนะการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล...อันเป็นวิถีที่ถูกที่ควรของ "ผู้นำ"

...

ก่อนจบ ก็ขอถือโอกาสชวนทุกท่านคิดต่อ...

ว่าสรุปแล้ว...เราทุ่มเททำงานหนักไปเพื่ออะไรกันแน่?

ผมให้เวลาอ่านย้อนและคิดตามอีกครั้งนะครับ

...

ทุกท่านได้ข้อสรุปยังไง...ผมก็ไม่อาจจะทราบได้

แต่สำหรับผม...เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมได้ข้อสรุปไว้เตือนใจตัวเองว่า เหตุผลที่คนเราควรจะต้องทุ่มเททำงานหนักนั้น...

...ก็เพื่อตอบสนองต่อศรัทธาและความเชื่อที่เรามีต่อตัวเองและที่คนอื่นๆ มีให้กับเรายังไงล่ะครับ...

#NoteToSelf: 

  • ยอมถอยเพื่อเดินหน้า, แพ้เพื่อที่จะชนะในบั้นปลาย และทิ้งอดีตเพื่ออนาคตที่มีค่ากว่า
  • ลำพังแค่ตัวเรา จะยังไงก็ได้ / แต่เมื่อต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่น จะยังไงก็ได้...ไม่ได้
  • เตือนใจตัวเองให้ดีว่า โกรธได้แต่อย่าขาดสติ และโมโหได้แต่ต้องมีเหตุผล

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...