Skip to main content

Post#4-302: นัดพบผู้หลักผู้ใหญ่

Post#4-302:
มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเอเซียมาเนิ่นนานแล้ว กับการที่ "ผู้น้อย" จะต้องเป็นฝ่ายไปรอคอย "ผู้ใหญ่"

ยิ่งเป็นการนัดขอเข้าไปพบคนใหญ่คนโตมากเท่าไหร่...ผู้น้อยก็ยิ่งจะต้องให้ความสำคัญ คือควรไปรอเสียตั้งแต่ "ไก่โห่"

เอาจริงๆ ผมก็อยากจะบอกว่า นี่เป็นธรรมเนียมที่ผู้น้อยทุกคนควรรักษาไว้...ส่วนใครจะมองว่าผม "หัวโบราณ" ผมก็ยินดีน้อมรับครับ

...

ยิ่งเราเติบโตขึ้น เราจะยิ่งเข้าใจว่า ทรัพยากรและต้นทุนที่มีค่าที่สุด ก็คือ "เวลา"

ดังนั้น คนที่บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีโอกาสที่จะทำงานได้ "สำเร็จ" มากกว่าคนอื่น

ผู้บริหารระดับสูงหรือผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน จึงมีตารางเวลาที่ค่อนข้าง "แน่นอน" และ "จำกัด"

ซึ่งก็หมายความว่า ถ้านัด 10 โมง ก็ต้องเป็น 10 โมง และถ้ามีเวลาให้ 20 นาที ก็หมายความว่า มีแค่ 20 นาที

แปลอีกทีว่า...ถ้าเราไปไม่ตรงตามนัดแล้วล่ะก็ นอกจากจะหมายถึงไม่ให้เกียรติท่านแล้ว ยังอาจทำให้ท่านตีความได้ว่า เราหย่อนประสิทธิภาพในการบริหารเวลาอีกด้วย

มันคงจะน่าเสียดายนะครับ ถ้าเราจะต้องพลาดโอกาสสำคัญที่จะได้มาพบผู้ใหญ่...เพราะเราดันพลาดมาสายอย่างที่ไม่ควรจะพลาด

นี่เอง ที่ผมบอกว่า การต้องรู้จักมารยาทด้านเวลาหากนัดกับผู้หลักผู้ใหญ่ จึงเป็นเรื่องที่ผู้น้อยทุกคน จะละเลยเสียไม่ได้

...

ต้องอย่าทึกทักเอาเองนะครับ ว่ากะแค่เวลาเพียง 20-30 นาที คนเราจะไปทำอะไรได้มากมาย...

แต่กับผู้บริหารระดับสูง, ผู้หลักผู้ใหญ่ หรือเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายแล้ว...เวลาเพียงแค่ 5 นาที ก็มีค่า และสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล

ดังนั้น ก็คงจะไม่เกินไปนัก ถ้าผมจะสรุปว่า คงมีแต่เด็กน้อยไม่เดียงสาเท่านั้น ที่รู้สึกว่า เรื่องเวลา เป็นเรื่องไม่สำคัญ

...เมื่อผู้ใหญ่ให้ "เวลา" ที่มีค่ากับเรา...ดังนั้น ไม่ว่าเราจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เราก็ไม่สมควรที่จะไปทำให้ท่านรู้สึกไม่ดี ที่ได้ให้ "เวลา" กับเรามา...

#NoteToSelf: 

  • ธรรมเนียมปฏิบัติบางเรื่อง ก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องรักษามันเอาไว้...ใครจะมองว่า "หัวโบราณ" ก็ช่าง
  • "เวลา" ที่เสียไปแล้ว ไม่ว่าจะเสียดายหรือยอมจ่ายเท่าไหร่ ก็เอาคืนมาไม่ได้...แบบนี้แล้ว "เวลา" จะไม่มีค่าหรือสำคัญ ได้ยังไง?
  • มาเร็วกว่าเวลา 5 นาที แสดงคุณค่าของตัวเราได้มากกว่า มาสายแค่ 5 นาที

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...