Skip to main content

Post#4-322: ประเทศไทย 4.0

Post#4-322:
หลายวันก่อน ผมมีโอกาสได้สนทนากับบุคคลสำคัญทึ่ถือเป็นชนชั้นวิชาการอยู่นานพอดู

ประเด็นที่สนทนากัน ก็จะเกี่ยวเนื่องกับลักษณะนิสัยบางอย่างของประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา

ออกตัวก่อนนะครับ ว่าไม่ได้หมายความว่า ทุกคนในประเทศกำลังพัฒนา จะต้องมีนิสัยแบบนี้ไปเสียหมด...แต่พอจะอนุมานได้ว่า มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

นิสัยที่ว่า ก็คือ "นิสัยขี้โทษ"

...

ใครก็ตามที่โยนสาเหตุของปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ให้เป็นความผิดของปัจจัยภายนอกทั้งหมด...ถือว่าเข้าข่ายเป็นพวก "ขี้โทษ"

เช่น สุขภาพไม่ดี ก็โทษเพียงแต่ว่า เป็นเพราะรัฐไม่ได้เตรียมการเรื่องสาธารณสุขได้ดีเพียงพอ

แต่ไม่เคยมองไปว่า การใช้ชีวิตของตนเองต่างหาก ที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บป่วย

หรือเช่น การที่ค้าขายส่งออกไม่ดี ก็โทษว่าเป็นเพราะรัฐปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า จนแข่งขันไม่ได้

แต่ไม่เคยมองว่า เพื่อนร่วมอุตสาหกรรมเค้าปรับตัวไปถึงไหนแล้ว ไม่ใช่มัวแต่ด่าคนอื่นว่าทำได้ไม่ดี แต่ตัวเองไม่เคยคิดจะปรับปรุง

...

ถึงตรงนี้ การที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่ยุค 4.0 ตามที่รัฐออกมาประกาศน่ะ...เราคงหวังพึ่งแต่รัฐเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้

หน้าที่ของรัฐควรจะมุ่งเน้นไปที่การจัดสรรระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อการก้าวไปสู่ยุค 4.0 ให้พร้อม...ซึ่งต้องใช้เวลาและงบประมาณอีกมาก

ส่วนประชาชนเองก็ต้องปรับ paradigm ของตัวเองให้เน้นการพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น...ใส่ใจในเรื่องการป้องกันให้มากกว่าแก้ไข

เช่น เมื่อรู้ว่า รัฐต้องเตรียมงบประมาณมหาศาล สำหรับค่ารักษาพยาบาลพื้นฐาน...ก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองไม่ให้ป่วยไข้ เป็นต้น

...

ผมมองว่า การที่ประเทศของเราล้าหลังกว่าประเทศชั้นนำใน ASEAN...หาใช่เพราะเรามีทรัพยากรไม่เพียงพอ

หากแต่เป็นเพราะ paradigm ของประชากรส่วนใหญ่ ยังไม่ถูกปรับเปลี่ยน...

เมื่อไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดตัวเองก่อน มัวแต่โทษรัฐ, โทษนักการเมือง หรือโทษคนอื่น...ประเทศไทยของเรา ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนได้

คิดดูให้ดีครับ...กี่สิบปีมาแล้ว ที่คนส่วนใหญ่มัวแต่โทษกันไปโทษกันมา...แล้วกี่สิบปีที่ผ่านไปนั้นน่ะ ประเทศของเรา มีอะไรดีขึ้นบ้างมั๊ย?

...ประเทศไทย 4.0 จึงต้องเริ่มจากปรับวิธีคิดของตัวเราก่อน...แล้วค่อยๆ ขยายวงไปสู่คนใกล้ชิดครับ...

#NoteToSelf: 

  • ไม่สำเร็จในรุ่นเรา ก็อาจสำเร็จในรุ่นลูกรุ่นหลาน...แต่ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ ก็ไม่มีทางที่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า จะมาถึง
  • การโทษคนอื่นนั้น "ง่ายดี" แต่ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนา...การปรับปรุงตัวเองนั้น "ไม่ง่าย" แต่ทำให้เราก้าวหน้า ในขณะที่คนอื่น (ที่คิดไม่ได้) หยุดอยู่กับที่
  • ประเทศไทยจะดีขึ้น เพราะทุกคนช่วยกัน...ไม่ใช่งอมืองอเท้าโทษแต่รัฐ (ไม่ว่ารัฐบาลไหน) โดยไม่คิดปรับตัว

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...