Skip to main content

Post#4-307: การละเล่นแบบไทยๆ

Post#4-307:
เคยเล่น "ซ่อนหา" กันบ้างมั๊ยครับ?

ไม่แน่ใจเอาจริงๆ ว่าเด็กๆ สมัยนี้ ยังเล่นอะไรแบบนี้กันอยู่มั๊ยหนอ?

รู้แต่ว่า สมัยผมยังเด็กๆ นี่ ต้องบอกว่า "ซ่อนหา" เป็นการละเล่นยอดนิยมสำหรับเวลาที่มีเด็กๆ หลายๆ คน มารวมตัวกัน

นอกจากนี้ ก็ยังมีการละเล่นอื่นๆ ที่นึกถึงแล้ว ต้องแอบอมยิ้มมุมปากอยู่อีกเพียบเลย...แต่สำหรับผม "ซ่อนหา" นี่คือ "พีค" สุดแล้ว

...

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่การละเล่นแบบไทยๆ ของเรา กลายเป็นอะไรที่ "หาดู" ได้ยากไปเสียแล้ว?

หรืออาจจะเป็นผลพวงมาจากการที่ เรามี Digital Interactive Activities ต่างๆ เข้ามาทดแทน Human Interactive Activities มากขึ้นเรื่อยๆ?

คิดๆ แล้ว ผมก็ออกจะใจหายไม่น้อย เพราะการละเล่นแบบไทยๆ ในความทรงจำของผม มันเป็นประสบการณ์ที่ ทั้ง "สนุก", "ฝึกสมอง" และ "ได้ออกกำลัง" ไปพร้อมๆ กัน

รวมความแล้ว ก็อยากเห็นการละเล่นแบบไทยๆ ที่ว่า...กลับมา "ฮิต" ในหมู่เด็กรุ่นใหม่ๆ อีกครั้ง

...

นอกจาก "ซ่อนหา" แล้ว...ก็ยังมีการละเล่นอื่นๆ อีกเพียบครับ เช่น "โบราณเรียกชื่อ", "ตี่จับ", "แปะแข็ง", "ทอยกอง", "โดดยาง", "เป่ากบ", "หมากเก็บ" และ ฯลฯ

"วัยรุ่น" และ "ผู้ใหญ่ฟันแท้พึ่งขึ้น" หลายๆ คน อาจกำลังเกาหัวแกร่กๆ พร้อมกับกำลังคิดว่า "ไม่รู้จักสักอย่าง" ก็เป็นได้ ^^

ผมไม่รู้เอาจริงๆ ว่ามีการบรรจุการละเล่นไทยๆ เหล่านี้ ไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนอนุบาลหรือโรงเรียนประถม บ้างรึเปล่า?

ความจริงเรารณรงค์และอนุรักษ์เรื่องราวและสิ่งของต่างๆ มากมายสารพัด...ถ้าเพิ่มเรื่องนี้อีกสักเรื่อง เด็กๆ คงมีเรื่องสนุกนอก Digital World เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลย

ในยุคนี้ ที่เรา chat ผ่าน Social มากกว่าคุยกัน และเราเล่นเกม online มากกว่าการละเล่นโบราณ ที่ผมว่ามา

...จึงเป็นเหตุให้เด็กๆ ขาด Human Touch Interactive ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ถึงความสนุกของการอยู่ร่วมกันในสังคม รึเปล่าหนอ?...

#NoteToSelf: 

  • เห็นเกมโชว์จากญี่ปุ่นและเกาหลี...ดัดแปลงเอา "เกมซ่อนหา" มานำเสนอ ดูจนตาแฉะ
  • อยากให้มีการเล่นอะไรแบบนี้ในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถม แล้วมีการจัดการแข่งขันระดับประเทศ...คงสนุกน่าดูเลย ^^
  • มีใครจำความตื่นเต้นตอน "ซ่อนตัว" และ "ตามหา" ได้บ้าง...เป็นความสนุกที่ไม่อาจลืมได้จริงๆ
  • แก่แล้วสินะ ถึงคิดถึงเรื่องเก่าๆ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...