Skip to main content

Posts

Showing posts from June, 2014

Post#296: กล้าท้วงในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร

Post#296: เมื่อเช้าผมตื่นสาย เพราะลืมตั้งเวลาปลุก ปกติ 7 โมงนิดๆ ผมต้องออกจากบ้านแล้ว แต่วันนี้ 7 โมงครึ่ง ผมยังอยู่บนที่นอน >_<" โทษใครก็ไม่ได้ โกรธใครก็ไม่ควร ในเมื่อผมเป็นคนผิดเอง และที่บ้านก็ไม่มีใครกล้าปลุก เพราะนึกว่าวันนี้ผมตั้งใจจะออกจากบ้านสายหน่อย เรื่องนี้สะท้อนอะไรบ้าง? ถ้านี่เป็นเรื่องในบริษัทฯ แล้วถ้าเราเห็นว่า คนที่เป็นผู้นำ ทำอะไรที่แปลกไปจากแผนเดิม หรือทำอะไรที่ไม่น่าจะถูกทาง เราควรจะทักท้วงหรือไม่? บ่อยครั้งที่องค์กรเดินไปผิดทาง ก็ด้วยเพราะความที่เราไม่กล้าทักท้วงนี่แหละครับ! เรามักจะนึกว่าเรื่องระดับนโยบายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เราเป็นเด็กๆ ไม่เกี่ยวหรอก หรือถึงแม้รู้ทั้งรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วง เพราะกลัวจะถูกผู้ใหญ่ตำหนิ ในความเป็นจริง ถ้าเราทักท้วงหรือสอบถามด้วยเหตุและผล เลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมในการคุยกับผู้ใหญ่ ไฉนเลยผู้ใหญ่จะไม่ฟัง คนในระดับกำกับดูแลทั้งหน่วยงานหรือทั้งองค์กร ควรจะมีวิจารณญาณที่ดีในระดับที่ตีความได้ชัดเจน ว่าเราสอบถามหรือท้วงติงด้วยเจตนาอะไร หวังดีหรือแดกดัน ฉะนั้น ถ้าเป็นเร...

Post#295: งานมหกรรมขายสินค้า

Post#295: บ่ายวานนี้ผมไปยืนช่วยทีมงานขายของที่ศูนย์ฯ สิริกิตติ์ในงาน ICC Fair คนเยอะมากๆ เรียกว่าถ้าเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่ต้องเดินให้เสียเวลา เพราะเราจะไหลไปเองเลย ^^ งานลักษณะแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นงาน Commart, งานมหกรรมบ้านและสวน, งานอะไรต่ออะไรอีกร้อยแปด ฯลฯ นั้น คนที่มาเดินในงานมีความตั้งใจมาซื้อ (Intention to Buy) สูงมาก เรียกว่า อุตส่าห์มาแล้วทั้งที จอดรถยากขนาดนี้ เบียดคนขนาดนี้ ชั้นจะไม่มีวันยอมกลับบ้านมือเปล่าแน่ๆ มีทั้งกลุ่มที่รู้แน่ๆ ว่าจะมาซื้ออะไร และกลุ่มที่ไม่รู้จะซื้ออะไร ขอมาเดินดูก่อน อะไรดีอะไรโดน เป็นยอมควักกระเป๋าซื้อแน่ๆ ส่วนพวกที่ไปเดินส่องพริตตี้ตามงานมอเตอร์โชว์ แบบนั้น ไม่เข้าพวกนะครับ อิอิ คราวนี้มาดูในฝั่งของผู้ออกงานบ้าง ส่วนมากแล้วสินค้าที่นำไปจำหน่ายในงาน มีทั้ง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เป็นสินค้าใหม่ และกลุ่มที่เป็นสินค้าสต๊อก คนที่ไปออกงานต้องเสียงานค่าพื้นที่ไม่น้อย ดังนั้นความต้องการอยากขายให้ได้มากๆ จะมีสูงมาก และแน่นอนว่า ไม่ต้องคิดกลยุทธ์อะไรให้วุ่นวาย เพราะลูกค้ามางานนี้เพื่อสิ่งเดียว นั่นคือ "ของถูก" และมักเข้าใจอย่างฝังหั...

Post#294: วิธีคิดที่เรามีต่อความพ่ายแพ้

Post#294: ใครๆ ก็อยากเป็นผู้ชนะ แต่จะมีสักกี่คนที่จะเห็นและเข้าใจ ว่ากว่าจะได้เป็นผู้ชนะ ต้องผ่านความพ่ายแพ้มาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ คนส่วนใหญ่มักมองไปที่ผลลัพธ์โดยไม่ได้สืบค้นที่มา เลยทำให้เข้าใจไม่ถ่องแท้ คิดและสรุปเอาเองว่า คนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย มีชีวิตที่น่าอิจฉาและสวยงาม ทั้งที่จริงๆ แล้ว เบื้องหลังของผู้ชนะ ผ่านหยาดเหงื่อและน้ำตามามากต่อมาก ผมคิดว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ดังนั้นความพ่ายแพ้หรือความล้มเหลวจึงเป็นเรื่องสามัญที่เกิดแก่มนุษย์ และในเมื่อทุกคนเคยพ่ายแพ้ แล้วอะไรล่ะ เป็นตัวทำให้คนที่เคยพ่ายแพ้และล้มเหลวกลับกลายมาเป็นผู้ชนะหรือคนที่ประสบความสำเร็จได้? สารภาพว่า ผมเองก็ไม่เคยนึกถึงคำตอบของคำถามนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อวานไปอ่านเจอใน Page/ประโยคเด็ดหนังสือดัง โดย Page นั้น ให้เครดิตของคำตอบที่ผมจะเล่าต่อไป ว่ามาจากหนังสือ The Magic of Thinking แต่งโดย David J. Schwartz แน่นอนว่าก่อนผมจะเล่าต่อ ก็ต้องขอให้ทุกท่านคิดก่อน แต่คราวนี้ เราลองมาคิดตามไปพร้อมๆ กันดูครับ... ถ้าวันนั้นเราล้มเหลว แล้วคิดว่า เราเป็นไอ้ขี้แพ้ ความคิดนั้นจะเป็นตัวกำหนดการกระทำ...

Post#293: เรื่องไร้สาระที่แฝงสาระ

Post#293: เมื่อคืนนี้ พาลูกน้องไปตะลุยท่องราตรีในกรุงจาการ์ต้ามาครับ ^^ สนุกดีหลังจากที่ไม่ได้ปล่อยแก่มานาน ไปโดนแท็กซี่หลอก ขับรถอ้อมเล่น เพื่อผลาญมิเตอร์ พาไปคลับที่ให้อารมณ์เดียวกับพัฒน์พงศ์ ไปถึงก็โดนชาร์จค่าเข้าก่อนเลย คนละ 75,000 รูเปีย (ประมาณ 200 บาท) แล้วก็ไปนั่ง ก็มีโชว์คล้ายๆ พัฒน์พงศ์อย่างที่ว่า สั่งเบียร์ไปหนึ่งเหยือก แพงอ่ะ (จ่ายไป 364,000 รูเปีย ก็เกือบๆ พันบาท) พอเบื่อๆ ก็ไปกันต่อ เรียกแท็กซี่ ไม่มีมิเตอร์ ขับรถพาอ้อมนิดนึง (เมิงนึกว่ากรูไม่รู้ ^^) แล้วก็เรียกค่ารถแพงๆ แถมไม่มีแอร์อีก ไปถึงดิสโกเธค จ่ายค่าเข้าตามเคย คนละ 20,000 รูเปีย (ประมาณ 53 บาท) ด้านในมืดและเสียงดังมาก อยู่ได้ไม่ถึง 20 นาที แล้วก็ต้องรีบเผ่น เพราะหนึ่งในทีมงานหันไปเห็นว่ามีใครบางคนกำลังพยายามใส่อะไรลงไปในเครื่องดื่ม เกรงจะไม่ปลอดภัย เลยชวนกันเผ่น สุดท้ายก็ไปเข้าซุปเปอร์ซื้อเบียร์และเสบียงไปต่อที่โรงแรม >_<" ถึงโรงแรมเกือบตี 3 ผมก็นั่งคุยนั่งขำนั่งดื่มกับทีมงาน ไร้สาระกันเป็นหลัก จนกระทั่งตี 5 กว่าๆ ถึงจะแยกย้ายกันไปนอน ^^ ตลอดช่วงเวลาที่เฮฮาอยู่ด้วยกัน ก็ได้เห็นบาง...

Post#292: คนตรงกลางของบริษัท

Post#292: ผมใช้เวลาช่วงเช้าวันนี้ไปกับการประชุมบอร์ดบริหาร เป็นการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางของบริษัทสำหรับ 3 ปีข้างหน้า การประชุมนี้สำคัญมาก เพราะเป็นการขีดเส้นทางเดินว่าบริษัทจะเดินหน้าไปทางไหน ซ้ายหรือขวา ช้าหรือเร็ว อะไรทำได้ อะไรไม่ควรทำ ผมใช้เวลานำเสนอแผนนานกว่า 3 ชั่วโมง ตอบคำถามบอร์ดในหลากหลายมุม และสุดท้าย บอร์ดก็มีมติให้เดินหน้าได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่ผู้บริหารจะได้นำแผนงานเชิงทิศทางและนโยบายที่ได้รับการอนุมัตินี้ ไปทำแผนปฏิบัติงานต่อไป ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างบอร์ดบริษัทและผู้บริหาร จะต้องสื่อสารให้บอร์ดเข้าใจแนวทางขับเคลื่อนองค์กร เพื่อจะได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้งยังต้องรับภาระสำคัญในการนำนโยบายไปถ่ายทอดให้ทีมสามารถนำไปสร้างแผนปฏิบัติงานได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนอีกด้วย ความยากของคนที่เป็นคนกลางนี้ คือการประคองให้คนข้างล่างเข้าใจ และคนข้างบนมีความสุข ต้องรับบทในการประสานความเข้าใจให้ทั่วถึงทั้งองค์กร ดังนั้นใครที่อยู่ในบทบาทที่มีทั้งนายและลูกน้อง จะต้องเข้าใจศิลปะแห่งการประสานทีมให้มากๆ ครับ ในฐานะหัวอกเดียวกัน ผมเอาใจช่วยครับ ^^

Post#291: Hello Indonesia

Post#291: ณ ขณะที่ผมนั่งเขียนโพสต์นี้ ผมอยู่ที่กรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย ครับ ^^ ผมเคยมาเยือนกรุงจาการ์ต้าแล้ว 2 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่ละครั้งที่มา ก็มาด้วยจุดประสงค์ทางธุรกิจที่ต่างๆ กัน เพียงแต่มีจุดร่วมเดียวกัน คือไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวแน่นอน >_<" กรุงจาการ์ต้านั้น ติดอันดับโลกเบอร์ต้นๆ เคียงบ่าเคียงไหล่กับกรุงเทพฯ ในเรื่องรถติด เอาง่ายๆ ว่าจากสนามบินมาถึงที่พักนี่ ผมใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง กับระยะทางแค่ไม่กี่สิบกิโลเมตร O_o เทียบกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา ผมมั่นใจว่าสภาพการจราจรสาหัสขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ที่สำคัญระบบขนส่งมวลชนที่นี่แย่กว่าบ้านเรามาก ไม่ต้องพูดถึงรถไฟฟ้าและรถใต้ดิน ซึ่งน่าจะอีกหลายปีกว่าจะเริ่มสร้าง สภาพการจราจรที่แย่ ยิ่งทำให้คนที่สัญจรบนท้องถนนแย่ยิ่งกว่า เรียกว่า เราหาน้ำใจบนท้องถนนได้ยากเต็มที ใครดีใครได้ ใครเก๋าก็ได้ไปก่อน ประมาณนั้นเลย ระหว่างเดินทางมานี่ หูผมแทบจะดับเพราะเสียงแตรรถยนต์ไปเลยล่ะครับ -"- ประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ใหญ่มาก มีเกาะนับเป็นหมื่นๆ เกาะ และมีประชากรมากกว่า 250 ล้านคน มีความแตกต่างท...

Post#290: idea vs. innovation

Post#290: หลายต่อหลายครั้งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง idea กับ innovation ผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น กว่าจะได้สินค้าใหม่มาหนึ่งชิ้นออกสู่ตลาด ต้องผ่านกระบวนการทางความคิดมากมาย ผ่านกระบวนการทดลองอีกนับครั้งไม่ถ้วน ผ่านการเก็บรวบรวมข้อมูล วิจัยตลาด รวมไปถึงการทดสอบความเป็นไปได้หลายๆ อย่าง เรียกว่า กินเวลาอาจจะเกือบปีหรือบางสินค้าอาจจะเป็นปี กว่าจะเข็นสินค้าออกมาได้ แล้ว idea กับ innovation มันต่างกันตรงไหนล่ะ? ก็ลองคิดกันหน่อยดีมั๊ยครับ ให้เวลา 3 นาทีละกันครับ ^^ ... เราอาจคิด idea สินค้าได้มากมายนับร้อยๆ idea แต่จะสามารถทำตลาดได้หรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่อง เรียกว่า ต้องผ่านกระบวนการเยอะแยะอย่างที่ผมเล่าข้างต้นนั่นแหละครับ และนี่แหละคือจุดต่างระหว่างการเป็นแค่ idea หรือจะกลายเป็น innovation ตัดสินกันตรงความสามารถในการทำตลาดได้หรือไม่นั่นเอง หาก idea นั้น ไม่สามารถสร้างความเป็นได้ทางธุรกิจ idea นั้น ก็จะไม่ถูกเรียกว่าเป็น innovation ซึ่งไม่ได้หมายความว่า concept ของ idea นั้นๆ ไม่ดีนะครับ แต่อาจจะมีปัจจัยอื่นมาชะลอให้ไม่กลายเป็น innovation เช่น จังหวะเวลาใ...

Post#289: ทำสิ่งใดไว้ ก็จะได้รับผลจากสิ่งนั้น

Post#289: บ่ายวันนี้ ผมมีโอกาสได้มานำเสนองานให้กับเพื่อนรุ่นน้องท่านหนึ่ง ที่ไม่ได้เจอกันมานานพอดู จริงๆ แล้ว เรารู้จักกันมายาวนานเกือบจะสิบปีเห็นจะได้ ด้วยเหตุทางธุรกิจ (แต่ในครั้งนั้น ผมอยู่ในฐานะลูกค้า) ก็ได้ทำงานร่วมกัน ผ่านทั้งปัญหาและเจอทั้งอุปสรรคหลายๆ อย่างร่วมกัน จึงทำให้คุ้นเคยและเห็นเนื้อแท้ของกันและกันพอสมควร โดยเฉพาะผมเคารพคุณพ่อของเพื่อนรุ่นน้องนี้เป็นพิเศษ ได้เรียนรู้และต่อยอดจากหลักคิดของท่านมาค่อนข้างมาก ต่อเมื่อผมมาเปิดบริษัทของตัวเอง ก็ยังได้อาศัยแลกเปลี่ยนแนวคิดกับท่านและเพื่อนรุ่นน้องท่านนี้อยู่บ้าง มาห่างกันในช่วงหลังๆ ประมาณปีกว่าๆ เพราะแวดวงที่ผมทำงานอยู่ ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับท่านและเพื่อนรุ่นน้องของผมเลย จนมาถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมก็โทรหาเพื่อนรุ่นน้องท่านนี้ เพื่อจะขอโอกาสไปนำเสนอสินค้า เผื่อว่าจะทำงานอะไรบางอย่างร่วมกันได้ ทั้งนี้น้องเค้าก็ยุ่งแสนยุ่ง แต่ก็ยังสละเวลาให้ผมได้เข้าพบ และที่สำคัญคุณพ่อท่านยังรอพบผม ทั้งที่ท่านก็มีนัดอยู่แล้วด้วย และแม้จะไม่ได้ใช้เวลานำเสนองานมากนัก แต่ท่านก็ได้ฝากฝังให้เพื่อนรุ่นน้องของผมลองนำไปพิจารณาต่อ ดูว่าพ...

Post#288: เนื้อหาเดิม แต่วิธีเล่าเรื่องไม่เหมือนเดิม

Post#288: บ่ายวานนี้ ผมนั่งประชุมกับอดีตลูกน้อง เพื่อช่วยวางแผนการตลาดของสินค้าใหม่ตัวหนึ่ง เราถกกันหลายประเด็นมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมาย, คู่แข่ง, ช่องทางการขาย, design ของ packaging, ชื่อสินค้า, การตั้งราคา, แผนการส่งเสริมการขายช่วงเปิดตัว, ฯลฯ แต่ประเด็นที่คุยกันนานมากเป็นพิเศษ เป็นเรื่องของการทำ Marketing Communication หรือการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ว่าทำยังไงสินค้าจึงจะมีความแตกต่างได้ในมุมมองของลูกค้า เพราะงบในการสื่อสารมีค่อนข้างจำกัด ตอนหนึ่งของการสนทนา เราคุยกันเรื่องของ story telling ว่าเราควรจะบอกอะไรกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นการถกและวิเคราะห์ว่าคู่แข่งเล่าเรื่องอะไร แล้วเราจะเล่ายังไงให้ต่างจากคู่แข่ง? ประเด็นที่ผมอยากชวนคุย อยู่ตรงนี้แหละครับ เราจะเล่าเรื่องอย่างไรให้แตกต่าง? ผมยกตัวอย่างให้น้องฟังว่า เราฟังเพลงกันมาเยอะ โดยเฉพาะเพลงที่ว่าด้วยเรื่องของความรัก ผมว่า ไม่มีความรักในแง่มุมไหนที่ยังไม่ปรากฏในบทเพลง แต่ทำไมเรายังมีเพลงใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับความรักให้เราฟังอย่างไม่ขาดตอน นั่นแปลว่า เนื้อหา ที่นำมาเล่า ไม่ได้เป็นเนื้อหาใหม่ แต่วิธีการเล่...

Post#287: คนเราตีค่าความสำเร็จไว้ไม่เท่ากัน

Post#287: ต้องยอมรับว่าช่วงนี้ไปไหนใครๆ ก็ชวนคุยเรื่องบอลโลก ผมเองก็มีทีมในดวงใจที่เชียร์ออกหน้าออกตา ซึ่งก็คืออังกฤษ และได้โบกมือลาบอลโลกไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่อิตาลี ทีมรักอีกทีมของผม พ่ายคอสตาริกา ไปแบบพลิกโผ ภาพที่เห็น คือทั้งนักเตะและกองเชียร์ของทีมคอสตาริกาดีใจเสมือนเป็นแชมป์โลก ทั้งๆ ที่มันคือการชนะ 2 นัดติดกันเท่านั้น ถ้าเป็นการชนะติดกันของทีมบิ๊กเนม เช่นฝรั่งเศส ทีมตราไก่ก็คงจะยินดีเช่นกัน แต่คงไม่ได้ดีใจขนาดทีมคอสตาริกา ถามว่า ทำไม? ผมตอบว่า เป็นเพราะเป้าหมายแห่งความสำเร็จของทั้ง 2 ทีม นั้น ไม่เท่ากัน สำหรับทีมบิ๊กเนมทั้งหลาย แน่นอนว่าเป้าหมายอยู่ที่การเป็นแชมป์บอลโลก แต่สำหรับทีมเล็กๆ เป้าหมายอยู่แค่การผ่านเข้ารอบ 2 และบางทีมขอแค่ชนะซักนัดนึงก็พอแล้ว นี่ยังไม่นับบางประเทศที่ตั้งเป้าหมายจะไปบอลโลกตั้งแต่ผมจำความได้ จนบัดนี้ยังไม่มีวี่แวว ไปได้แค่ทีมหญิง (เอ๊ะ คุ้นๆ ว่าประเทศอะไรนะ :p) ด้วยเพราะเป้าหมายของแต่ละทีมไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับคนเราที่ตั้งเป้าไว้ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ความสำเร็จของใครคนหนึ่ง อาจไม่ใช่ความสำเร็จของใครอีกคน ซึ่งเราไม่อาจดูแคลนความสำเร็จใ...

Post#286: วิถีแห่งการเจรจาต่อรอง

Post#286: จำได้ว่า ไม่นานมานี้ผมคุยถึงเรื่องเทคนิคการเจรจาต่อรองให้ฟัง (Post#260) เหตุให้บังเอิญ วันนี้ผมกับหุ้นส่วนต่างชาติ มีอันต้องเจรจาต่อรองเรื่องบางเรื่องกับกลุ่มธุรกิจหนึ่ง ทำให้ผมเก็บมาวิเคราะห์ต่อว่า จริงๆ แล้ว การเจรจาต่อรองเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยการสังเกตและการวิเคราะห์ในระดับยิ่งยวด และที่สำคัญสติและสมาธิต้องจับอยู่กับการสนทนาอยู่ตลอดเวลา เผลอไปนิดเดียว เราอาจจะพลาดได้ง่ายๆ อีกสิ่งที่ผมวิเคราะห์ต่อมาก็คือ การเจรจาต่อรองนั้น อาจแบ่งได้กว้างๆ เป็น 2 วิถี ซึ่งผมต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้เจาะจงถึงประเทศไหนเลยทั้งสิ้น เป็นการสรุปโดยรวมเทียบเคียงกับลักษณะการเจรจาต่อรองของสายอาชีพนั้นๆ เท่านั้นนะครับ วิถีที่หนึ่ง เรียกว่า การเจรจาต่อรองแบบ Political-driven ซึ่งเป้าประสงค์หลัก อยู่ที่การต่อรองเพื่อประโยชน์สูงสุดของฝ่ายที่ตนเองสังกัด ทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบค่อนข้างมาก ส่วนอีกวิถีหนึ่ง เรียกว่า การเจรจาต่อรองแบบ Diplomat-driven ซึ่งจะมีเป้าประสงค์หลัก อยู่ที่การต่อรองเพื่อให้แต่ละฝ่ายได้บางอย่างและอาจจะเสียบางอย่าง ที่ผมเรียกว่า trade-off นั่นแหละครับ ดูเ...

Post#285: พึงเสียสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต

Post#285: เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า "พึงเสียสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต" บ้างมั๊ยครับ ส่วนตัวผมเชื่อมั่นว่า แทบทุกคนบนโลกคงมีประสบการณ์แบบนี้ ประสบการณ์ที่ทำให้เราต้องลำบากใจ อยู่ในภาวะที่ต้องเลือกเสียสละบางอย่าง เพื่อรักษาบางอย่างไว้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมาก ที่จะต้องตัดใจสละทิ้งส่วนนั้นๆ ไป การตัดใจแบบนี้ มองเผินๆ เหมือนเป็นการเลือกระหว่างของ 2 สิ่ง แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นมิติที่ลึกมากกว่า เพราะการตัดใจแบบนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเจอ แม้ว่า ชีวิตจะสำคัญกว่าอวัยวะ แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะพิการ ใช่มั๊ยครับ? เมื่อเวลาที่ต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ ต้องทำใจให้แน่นหนัก แม้ว่าจะต้องพิการ ก็ยังดีกว่าจะหาชีวิตไม่ เมื่อถึงคราวต้องตัดสินใจบางอย่าง เพื่อให้องค์กรหรือหน่วยที่เราดูแลคงอยู่ต่อไป ก็อาจถึงคราวที่จะต้องเสียสละส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป แม้มันจะยากต่อการทำใจก็ตาม การเสียสละที่ผมว่านี้ หมายรวมไปถึงการต้องปรับปรุง, เปลี่ยนแปลง, โยกย้าย หรือแม้กระทั่ง เลิกรา จาก "คน", "เงิน" หรือ "เวลา" ที่เรามี ถ้าเป็นการเสียสละ "เงิน" หรือ "เวล...

Post#284: สำนึกในหน้าที่

Post#284: เรื่องความไม่เข้าใจหรือสำนึกในหน้าที่นี่ เป็นเรื่องที่เราพบบ่อยมากในชีวิตประจำวัน เกิดขึ้นได้กับทุกสาขาอาชีพ แต่ที่ผมพบบ่อยก็คือ "มนุษย์เงินเดือน" ลองคิดดูนิดนึงมั๊ยครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ใช้เวลาซัก 5 นาทีก็คงพอ ... จากการวิเคราะห์ของผม ผมว่า เป็นเพราะ "มนุษย์เงินเดือน" ขาดแรงผลักดัน สิ้นเดือนยังไงก็ได้เงินแน่นอน จะพยายามให้มากไปทำไม? ผมไม่ได้บอกว่า "มนุษย์เงินเดือน" ทุกคน จะเป็นแบบนี้ แต่บางส่วน (ซึ่งอาจจะเป็นส่วนมากหรือส่วนน้อย ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่แต่ละท่าน พบเจอมานะครับ) มักจะทำงานแบบ "เช้าชาม เย็นชาม" คือสักแต่ว่ามาอยู่ที่ทำงาน แต่ไม่ได้สร้างผลงานที่จับต้องได้ มาสาย กลับเร็ว แว่บไปซื้อของ หลบไปสูบบุหรี่ นั่งผลาญเวลา ทำงานเมื่อถึงกำหนดส่ง วางแผนไม่เป็น ฯลฯ เรียกว่าเบียดบังบริษัทฯ ได้ เป็นไม่ละโอกาส พวกนี้ จะชอบด่าบริษัทฯ ตัวเองเป็นหลัก แต่ไม่เคยคิดจะลงมือทำอะไรให้บริษัทฯ ดีขึ้น (หรือที่โบราณเรียกว่า "พวกมือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ" นั่นแหละครับ) แต่แปลกที่พวกนี้มักไม่ค่อยรู้ตัว มักจะคิดว่า ตัวเองทำงานดีแล้ว เต...

Post#283: TGT คนพิการที่ไม่พิการ

Post#283: ช่วงนี้รายการ TGT กลับมาประจำการแล้ว เพียงแค่สัปดาห์แรก ก็มีโชว์ที่ทำให้ผมเรียนรู้ได้มากมาย ไม่แน่ใจว่ามีใครได้ดูเหมือนผมรึเปล่านะครับ แต่มีโชว์หนึ่งที่เป็นน้องๆ ที่พิการ ต้องนั่งวีลแชร์ออกมาแสดง เรียกน้ำตาและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมในห้องส่งได้อย่างมาก กรรมการเองก็นั่งน้ำตาซึมเช่นกัน เท่าที่ผมสัมผัสและประสบมา คนปกติอย่างเราๆ มักจะสั่นสะเทือนเสมอ เมื่อเห็นคนพิการหลายๆ ท่าน แสดงอะไรที่เกินเชื่อว่าเค้าทำได้ และความสั่นสะเทือนนี้ จะกลายเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราๆ ทั้งหลายๆ ค่อนข้างมหาศาล เพราะเราเกิดการเปรียบเทียบ การแสดงหลายๆ อย่าง แม้เราจะครบ 32 ก็ยังทำได้ยาก แต่คนพิการหลายๆ ท่าน ทำได้ดีกว่าคนปกติซะอีก น้องท่านหนึ่งในทีม สรุปได้ดีมากครับ เค้าสรุปประมาณว่า "พวกผมอาจจะพิการแค่ร่างกาย แต่ใจพวกผมไม่ได้พิการ" ฟังแล้วผมก็ได้แต่ทึ่งกับวิธีคิดของน้องเค้า ผมค่อนข้างมั่นใจ ว่าเค้าไม่ได้พูดเอาเท่ แต่เค้ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เป็นความรู้สึกอันแรงกล้า และเป็นพลังผลักให้เค้าไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทางกายที่มี เรียกว่า ใจสู้ซะอย่าง อะไรก็ไม่กลัว ว่างั้น (ทำให้ผม...

Post#282: passion ส่งผลต่อความมุ่งมั่น

Post#282: เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมานี้เอง ผมไปร่วมวงเสวนาเกี่ยวกับองค์ความรู้ด้าน IT ที่โรงแรมย่านใจกลางเมือง เป็นงานเสวนาที่น่าสนใจครับ เพราะเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่สนใจเรื่อง IT มารวมกัน และจะมีแขกรับเชิญจากหลากหลายเทคโนโลยี มา update ความเคลื่อนไหวต่างๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยี, knowhow ใหม่ๆ, โอกาสในการเรียนรู้และต่อยอดธุรกิจ จากกลุ่มคนที่ผมว่า ผู้เข้าร่วมเสวนา มีทั้งชาวต่างชาติกว่าครึ่งค่อน และมีชาวไทยร่วมอยู่ด้วยอีกไม่น้อย รวมๆ แล้วน่าจะเกือบร้อยชีวิต ซึ่งชาวไทยที่ผมว่านี่ ส่วนมากจะอายุน้อยๆ และมีบุคลิกบางอย่างที่บ่งชัดเลยครับ ว่าเป็นกลุ่ม Geek ที่เชี่ยวชาญด้านนี้เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของคนปกติทั่วๆ ไป การที่ได้มาเข้าร่วมนี้ ทำให้ผมได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ที่ผมไม่เคยได้ยินและได้ฟังมาก่อน และไม่เคยนึกว่า งานเสวนาแบบนี้ จะเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งมากๆ ในประเทศไทย นั่นหมายความว่า วิถีใหม่ๆ ในการเรียนรู้และต่อยอด จะมีพลังมากขึ้น และเป็นพลังที่มีนัยสำคัญ เพราะกระบวนการตั้งแต่นำเสนอไอเดียไปจนถึงการสรุปแผนปฏิบัติ เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก เรียกว่าภายใน 20 นาที เราจะรู้เลยว่า ไอเดียไห...

Post#281: สตางค์ vs สไตล์

Post#281: วันก่อน ผมอ่านเจอใน Facebook เค้าเล่าว่า ความเป็นคนมีสตางค์กับความเป็นคนมีสไตล์ เป็นคนละเรื่องกัน อ่านแล้วก็นั่งวิเคราะห์ตามประสาคนอยู่นิ่งๆ ไม่เป็น ผมก็เห็นว่าจริงอย่างที่เค้าว่า คนที่มีสตางค์เยอะอาจมีโอกาสจับจ่ายมากกว่าคนที่มีกำลังซื้อน้อย เลือกหาแฟชั่นล่าสุด ไม่ว่าจะมาจากแคตวอล์กไหน ก็ไม่ได้ลำบาก เรียกว่าแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ว่ายังงั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นายแบบหรือนางแบบใส่แล้วดูดี แล้วการที่เราซื้อหามาใส่ จะทำให้เราดูดีเหมือนพวกเค้าเสมอไป บ่อยครั้งที่ผมเห็น ท่านบรรดาผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ปรากฏกายมาในแฟชั่นแบรนด์เนมอย่างที่ว่า แล้วปวดใจ เพราะมันออกแนวมิกซ์แอนด์โนแมทช์ (mix and no match) พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมเป็นแฟชั่นกูรู หรือว่าเป็นพวกองุ่นเปรี้ยวหรอกนะครับ ผมออกจะเป็นแนวแต่งตัวเหมือนกันทุกวัน เสมือนเป็นเครื่องแบบซะด้วยซ้ำ ส่วนอีกพวก เป็นพวกสไตล์อยู่ในสายเลือด เรียกว่า แต่งตัวด้วยแบรนด์เนมก็ได้ แต่งด้วยเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่ดูดี ก็ไม่ขัดเขิน ซึ่งอาจเป็นผู้มีอันจะกินก็ได้ หรือบางท่านอาจจะไม่ได้มีกำลังซื้อมากนัก มีสตางค์อาจซื้อสไตล์ไม่ได้ และมีสไตล์อา...

Post#280: ชีวิตคู่

Post#280: เย็นนี้ผมต้องไปงานแต่งงานอดีตลูกน้องท่านหนึ่ง ทุกครั้งที่ไปงานแต่งงาน ผู้คนส่วนใหญ่รวมทั้งผมด้วย ไปร่วมงานด้วยความแช่มชื่น และกลับบ้านด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ยินดีกับคู่บ่าว-สาว ที่จะได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ ชีวิตคู่นั้น มีความแตกต่างจากชีวิตโสดค่อนข้างมาก และที่สำคัญคู่หนุ่มสาวที่กำลังจะแต่งงานหรือพึ่งจะแต่งงาน มักจะเข้าใจว่า "การแต่งงาน" คือ "เส้นชัย" แต่ตรงกันข้ามครับ จริงๆ แล้ว "การแต่งงาน" คือ "การเริ่มต้น" ต่างหาก และเป็นการเริ่มต้นที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง น่าสนใจที่จะเฝ้ามองและเอาใจช่วยคู่รักทั้งสอง ให้สามารถประคับประคองชีวิตสมรสให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ผมพึ่งฉลองครบรอบแต่งงาน 10 ปี ไปเมื่อไม่นานมานี้ และมั่นใจที่จะสรุปว่า การใช้ชีวิตคู่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อแต่งงานไปแล้ว อย่าคิดว่าอีกฝ่ายเป็น "ของเรา" เพราะคู่ชีวิตของเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อและหัวใจ มีความต้องการทางกายและใจที่แตกต่างจากเรา และเค้าหรือเธอก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนเรา และอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นเสมอไป เคยอ่านเ...

Post#279: นกเลือกกิ่งไม้ vs กบเลือกนาย

Post#279: วันก่อนมีโอกาสได้ไปเจออดีตลูกน้อง 2 ท่าน คุยกันเรื่องนั่น นู่น นี่ มากมายก่ายกอง ตอนหนึ่งของการสนทนา ผมพูดถึงประโยคที่ผมชอบพูดถึงบ่อยๆ คือ "นกดีย่อมเลือกกิ่งไม้เกาะ" ซึ่งมันแตกต่างจาก "กบเลือกนาย" แบบสิ้นเชิง แม้ฟังดูเผินๆ จะคล้ายกันมากครับ ตามธรรมเนียมครับ คิดกันซัก 3 นาทีมั๊ยครับ ว่า 2 แบบนี้ ต่างกันยังไงแน่? ... "นกดีย่อมเลือกกิ่งไม้เกาะ" หมายความว่า เราต้องวิเคราะห์ว่า ใครเหมาะสมที่จะเป็นนายของเรา ใครที่เราไปทำงานด้วย แล้วช่วยให้เราเติบโตขึ้นทั้งฝีมือและจิตใจ เรียกว่า จะไปเป็นลูกน้องใครทั้งที ก็ขอเลือกซะหน่อยเถอะ ว่านายเราน่ะ เจ๋งจริงรึเปล่า ถ้าเจ๋งไม่พอ เราก็จะไม่ขอไปฝากชีวิตไว้ด้วย ว่ายังงั้น ส่วน "กบเลือกนาย" ที่เราได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ผ่านผู้เฒ่าผู้แก่บ้าง ผ่านนิทานอีสปบ้าง (เด็กสมัยนี้ ยังอ่านนิทานอีสปรึเปล่าครับ ใครทราบช่วยบอกที) เป็นการเลือกนายเหมือนกัน แต่เป็นการเลือกแบบไม่ได้ใช้ปัญญาในการเลือก ดีแต่ตำหนินายว่าไม่ดียังงั้น แย่ยังงี้ ไม่มีนายคนไหนดีในสายตาเลย แต่ก็บอกไม่ได้ด้วย ว่านายที่ดีที่ตัวเองอยากได้น่ะเป็นแบ...

Post#278: ตัวป่วน

Post#278: เคยมีโอกาสทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่มีปัญหาได้ทุกเรื่องมั๊ยครับ? ไม่ว่าจะต้องทำงานอะไร เค้าหรือเธอจะต้องเริ่มต้นประโยคว่า "ยาก", "ทำไม่ได้", "งานเยอะ" และอีกสารพัดประโยคบั่นทอนกำลังใจคนรอบข้างอยู่เป็นประจำ หนักกว่านั้นบางทีไม่ใช่งานของตัวเอง แต่ก็ไม่วายมาปั่นป่วนให้งานของคนอื่นเค้าวุ่นวาย แต่ให้ทำก็ไม่ทำนะครับ ถนัด "แปะ" คือ ยุ่งกับคนนั้นนิด คนนี้หน่อย ซะมากกว่า แล้วก็ทำงานด้วย "ปาก" เป็นหลัก เวลาเจอเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ ผมแนะนำว่า ต้องอย่ากลัวครับ ตอกกลับไปตรงๆ น่ะจะดีที่สุด ถ้าขืนไปสงวนถ้อยคำหรือปล่อยให้เค้ามาป่วนงานโดยที่เราไม่ตอบโต้ ผลเสียจะมาเกิดที่ตัวเรา ส่วนคนที่มาป่วนน่ะ รอดตัว ส่วนถ้าตัวป่วนนั้นเป็นลูกน้องของเรา หากเห็นแนวโน้มว่า เค้ากำลังจะเอนเอียงไปในทางที่เป็นตัวป่วน ก็ควรรีบหาทางตักเตือนให้เด็ดขาด อย่าปล่อยให้เค้าทำจนชินแล้วค่อยไปเตือน เพราะจะสายเกินไป แต่ถ้าใครคนนั้นเป็นนายของคุณ และคุณพิจารณาแล้วว่า นิสัย "ป่วนชาวบ้าน อิจฉาชาวช่อง ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน" ของเค้านั้น มีแนวโน้มจะเป็น "นิสัยถาวร...

Post#277: ความอดทนต่องาน

Post#277: ด้วยสภาพเศรษฐกิจและไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตประจำวันของคนในปัจจุบัน ทำให้ความอดทนต่างๆ ค่อนข้างต่ำ เรามักไม่ค่อยเห็นพนักงานที่มีอายุงานยาวนานเหมือนคนในยุคก่อนๆ เพราะคนยุคนี้ เปลี่ยนงานบ่อยพอๆ กับเปลี่ยนแฟน อาจเป็นเพราะทางเลือกในการทำงานของผู้คนมีมากขึ้น ไม่ต้องเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ได้ มีอาชีพอิสระรองรับถมไป ไม่ว่าจะขายของทาง Social Media หรือไม่ก็เช่าที่ขายของ หรือไม่ก็เปิดร้านกาแฟเล็กๆ หรือจะซื้อแฟรนไชส์ หากยังอายุน้อยๆ ผมว่ามันก็ดีครับ เรายังพร้อมที่จะผิดพลาด เรายังพร้อมที่จะล้มและลุกใหม่ แต่ที่อยากจะกระซิบดังๆ ก็คือ เมื่อถึงเวลาที่คิดว่าตัวเองล้มลุกคลุกคลานไม่ไหว แล้วจะกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนน่ะ อายุกับขีดความสามารถในการแข่งขันของตัวเอง เทียบกับเด็กที่จบใหม่หรือคนที่มีประสบการณ์เป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อนน่ะ เพียงพอรึเปล่า? ผมไม่ได้พูดเพื่อบั่นทอนกำลังใจนะครับ เพียงแต่อยากกระตุกให้คิดทางเลือกเผื่อไว้บ้าง เดี๋ยวขายโน่น เดี๋ยวเปิดร้านนั้น เดี๋ยวซื้อแฟรนไชส์นี้ สุดท้ายหาหลักยึดอะไรไม่ได้ซะอย่าง นอกจากหาเงินไม่ได้แล้ว บางรายอาจจะเป็นหนี้ ชีวิตกลับมาติดลบก่อนเริ่มต้นใหม่ ก็คงเหนื่...

Post#276: ตัวเราที่ไม่ใช่ตัวเรา

Post#276: วันนี้เป็นเหมือนวันคืนสู่เหย้าของผมแบบกลายๆ ค่าที่ได้พบเจอเพื่อนร่วมงานเก่าๆ จากหลายๆ บริษัท บางครั้งการได้คุยเรื่องราวในอดีตก็เป็นความงดงามในชีวิตอย่างหนึ่ง ได้มีโอกาสมองเรื่องราวด้วยมุมมองที่แตกต่าง เป็นการวิพากย์เหตุการณ์โดยมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องแต่น้อย แม้จะคุยเรื่องความผิดพลาดในอดีตของตัวเรา แต่เหมือนเราไม่ได้คุยเรื่องตัวเรา เพราะเรื่องมันผ่านเวลามานาน เราจำเรื่องราวได้ แต่จับอารมณ์เหมือนตอนนั้นไม่ได้แน่ๆ จริงๆ แล้วเป็นการยากมากที่เราจะคุยถึงเรื่องราวใดๆ โดยมุ่งประเด็นไปที่สิ่งที่เกิดขึ้น คุยแต่เนื้อหา ไม่ได้มุ่งไปที่เรื่องราว เพราะเป็นการคุยถึงเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวกูของกูจึงเบาบาง เมื่อไม่เอาใจไปจับ อารมณ์จึงไม่ขุ่นมัว นี่เองที่เค้าว่า บางครั้งเวลาก็เป็นตัวช่วย ช่วยให้ความเป็นตัวตนนั้นเจือจาง แม้จะคุยเรื่องของเรา แต่ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของจิตสั่นสะเทือนไปมากนักหนา เวลาโกรธ ผู้ใหญ่จึงเตือนไว้มาก ว่าอย่าคิด อย่าพูด หรืออย่าทำอะไร ต้องอยู่กับตัวเองให้อารมณ์โกรธนั้นคลายลง จึงจะทำให้การคิด พูด หรือทำ มีความเป็นปกติมากขึ้น มีสติไม่ใช่ใช้อารมณ์ สาธุ...

Post#275: มิตรแท้

Post#275: เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอนผมไว้ว่า "มิตรแท้ หาได้ยามที่เราลำบาก" เมื่อครั้งที่ได้ฟังผมออกจะเห็นด้วยอยู่ไม่น้อย และเมื่อผ่านวันเวลามายาวนาน ผมก็ได้แต่ยอมรับกับตัวเอง ว่าคำสอนนี้มีส่วน "ถูก" มากกว่า "ผิด" ที่ว่า "ถูก" มากกว่า "ผิด" นั้น ผมไม่ได้มีเจตนาจะก้าวล่วงคำสอนของท่านหรอกครับ เพียงแต่ผมคิดว่า ในทุกๆ คำสอน มิอาจนำไปประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์, กาละ และเทศะใดๆ ได้แบบ 100% เช่นเดียวกับคำสอนข้างต้น ในยามที่เราลำบาก หันหน้าไปทางไหนก็ดูจะมืดมิด และในความมืดมิดนั้น หากมีใครยื่นมือมาช่วยเหลือ เราย่อมสมควรระลึกถึงความช่วยเหลือนั้น หากแต่คนที่มิได้ยื่นมือมาช่วย เราสมควรสรุปว่า พวกเค้าแล้งน้ำใจ กระนั้นหรือ? ผมเกรงว่า อาจมิใช่ หากความช่วยเหลือที่เราต้องการ เป็นสิ่งที่เกินกว่าความสามารถของเค้า เค้าย่อมจนใจที่จะช่วย แม้เค้าจะอยากเอ่ยปากถามไถ่ แต่เค้าก็อาจจนใจว่าไม่ควรเปิดประเด็น ฉะนั้น ก่อนที่จะด่วนสรุปว่า มิตรรอบข้างที่มิได้ช่วยเหลือยามเราตกยาก ล้วนมิใช่มิตรแท้ ก็น่าที่ควรจะวิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัยของเค้าก่อน จึงจะควรครับ ลองหันมามองตัวเราบ้าง...

Post#256: การวัดผลงานกับแผน

Post#256: ช่วงกลางวันนี้ ผมมี Lunch Meeting กับเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติ ก็ทานไปคุยไปแบบสบายๆ ครับ แต่เรื่องที่คุยออกแนวซีเรียส เพราะคุยกันเรื่อง Performance ของบริษัท สิ่งที่ผมคิดว่า เราน่าจะเรียนรู้และยึดเป็นแบบอ ย่างจากฝรั่งได้ ก็น่าจะมีอยู่ 2 เรื่อง ก็คือ การให้ความสำคัญกับการ Learning from Mistake และการเคารพในแผนงานที่วางไว้ร่ วมกัน เอาเรื่องแรกก่อนครับ จากการทำงานร่วมกับพวกเค้ามาได้ ระยะหนึ่ ง พบว่า เค้าเข้าใจดีมาก ว่าความผิดพลาดในงานเป็นสิ่งที่ เกิดขึ้นได้ แต่เค้าคุยกันซีเรียสมากๆ ว่าผู้รับผิดชอบเรียนรู้อะไรจาก ความผิดพลาดนั้น และไม่ลืมคุยกันถึงแนวทางป้องกั นไม่ให้เกิดซ้ำ ส่วนเรื่องที่สอง เกือบจะทุกครั้งที่คุยกันเรื่อง  Performance จะต้องมีการอ้างอิงถึง Business Plan (Target และ Budget) เพื่อเป็นมาตรวัดความสำเร็จหรือ ล้มเหลว จุดนี้สำคัญมากสำหรับตัวผมเอง เพราะผมเชื่อว่า การที่เราจะวิเคราะห์ว่า งานของเราดีหรือไม่นั้น การเปรียบเทียบกับเป้าหมายจะสะท ้อนภาพได้ชัดเจนที่สุด เก็บเอามาฝากครับ เพราะส่วนตัวผมเห็นว่า เป็นการประชุมที่สร้างสรรค์มากท ี่สุดประชุมหนึ่งที่ผมเคยประสบม า ^^

Post#257: วางแผนแล้วลงไปคุยจริงมั๊ย?

Post#257: ช่วงบ่ายวันนี้ ผมได้มีโอกาสไปจิบกาแฟคุยกับเพื่ อนรุ่นพี่ที่ผมรักมาก เราเคยทำงานอยู่ด้วยกันอยู่พักใ หญ่ๆ ก็ update ชีวิตกันบ้าง แลกเปลี่ยนแนวคิดและปรับทุกข์กั นเรื่องงานบ้าง เรื่องสัพเพเหระบ้าง ตามประสา ตอนหนึ่งของการสนทนา พี่เค้าแชร์ให้ฟังถึงเรื่องการล งพื้นที่หน้างานเพื่อตรวจสอบว่า แผนปฏิบัติงานที่วางไว้ ทำได้จริงมากหรือน้อยแค่ไหน ผมว่า เรื่องนี้สำคัญมากๆ เพราะต่อให้แผนดีแค่ไหน แต่ไม่มีใ ครหยิบไปลงมือปฏิบัติก็ไม่มีทาง ประสบความสำเร็จได้ ย้อนกลับไปสมัยสามก๊ก ต่อให้แผนของขงเบ้งดียังไง แต่กวนอู เตียวหุย หรือจูล่ง ไม่ออกแรงรบตามแผน ก็ไม่มีวันสำเร็จ เรียกว่า แผนดีอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องลงมือทำตามแผนอย่างเต็มท ี่ด้วย ว่างั้น พี่เค้าแชร์ให้ฟังว่า การจะวางแผนให้สมบูรณ์ ต้องลงพื้นที่จริงเพื่อเก็บข้อม ูลก่อนวางแผนด้วย เพื่อจะได้วางแผนที่สอดคล้องกับ สถานการณ์จริง เห็นปัญหาจริง และรู้ถึงข้อจำกัด ว่าเรื่องไหนทำได้ เรื่องไหนทำไม่ได้ เมื่อได้ข้อมูลจริง การวางแผนจึงเป็นแผนที่สามารถทำ ได้จริงๆ ไม่ใช่สักแต่นั่งเทียนนึกภาพ แบบนั้นแย่ เพราะแม้เขียนแผนได้ ก็ใช่ว่าจะนำไปปฏิบัติได้ เมื่อครั้งขงเบ้...

Post#258: ถ้าเข้าใจ ต้องอธิบายได้

Post#258: เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ ระหว่างประชุมกับทีมงาน ผมเกิดเอะใจว่า พวกเค้ามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวก ับงาน เพียงพอที่จะเข้าใจลักษณะงานที่ ผมกำลังจะมอบหมายให้หรือไม่? ผมไม่ลังเลที่จะทดสอบ และให้บังเอิญว่า สิ่งที่ผมกังวลก็เป็นจริง มีบางคนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานเ ลย และบางคนคืนความรู้ไปหมดสิ้นแล้ ว ผมใช้เวลากับการรื้อฟื้นความรู้ ใหม่ให้กับทีม โดยไม่คิดว่าเป็นการเสียเวลา เพราะผมมั่นใจว่า มันควรจะเป็นการลงทุ นที่คุ้มค่า ถ้าจะทำให้พวกเค้าเข้าใจสิ่งที่ ต้องส่งมอบตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน ในความเป็นจริง คนที่ไม่กล้าบอกว่าตัวเองไม่รู้ ในงานนั้นมีอยู่มาก ยิ่งคนที่คิดว่าตัวเองเข้าใจ แต่จริงๆ แล้ว ไม่เข้าใจ ยิ่งมีเยอะมากกว่า แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าพวกเค้ารู้รึเปล่า? ผมก็ขอตอบแบบกำปั้นทุบดิน ว่าต้องถามตรงๆ และขอให้พวกเค้าพิสูจน์ด้วยการอ ธิบาย ถ้าอธิบายสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ ผมไม่เรียกว่าเข้าใจ เราไม่ได้กำลังคุยเรื่อง "พระธรรม" ที่จะต้อง "ทำเอง รู้เอง" แต่กำลังคุยกันเรื่อง "ความรู้พื้นฐาน" ดังนั้น ถ้าถามว่า "เข้าใจหรือไม่/รู้หรือไม่" แล้วได้คำตอบว่า "เข้าใจ/ รู้"...

Post#259: คำถามเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ

Post#259: หนึ่งในแรงใจแรงเชียร์ที่ทำให้ผ มมีแรงโพสต์ได้ไม่รู้เบื่อ ย่อมต้องเกิดจาก Fanpage และหนึ่งใน Fanpage แรกๆ ของผม ก็มีพี่ปราณี นี่แหละครับ เป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญ (ขออภัยที่ต้องเอ่ยนามครับ ที่ไม่ใช้นามแฝง เพราะพี่ปราณีถามคำถามใน Comment ไม่ใช่ Inbox) และคราวนี้ก็ยังกรุณาเปิดประเด็ นคำถามที่น่าสนใจมาอีก ผมก็ถือโอกาสใช้พื้นที่นี้ ขอบคุณพี่ปราและ Fanpage ทุกท่านด้วยนะครับ คราวนี้มาถึงคำถามครั บ...พี่ปราถามมาเรียบง่ายมาก แต่ผมบอกได้เลยครับ ว่าวันนี้โพสต์จะยาวมากๆ พี่ปราณี 'ment ว่า "พี่ขอแถมนิดค่ะว่า "คำถาม" ในการให้ได้มาซึ่ง "คำตอบ" นะสำคัญมาก และอยากให้บอยเขียนเรื่องนี้เป็ นวิทยาทานด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ  " ความเป็นจริงในชีวิตนั้น "คำตอบ" เป็นสิ่งที่เราต้องขวนขวยหาอยู่ แทบทุกวัน บางคำตอบก็ได้มาไม่ยากนัก แต่บางคำตอบหาชั่วชีวิตก็ไม่เจอ ประเด็นที่พี่ปราเปิดมานั้น แฝงนัยชวนคิดอยู่มาก และกระตุ้นให้คนที่อยากได้คำตอบ  ไม่ยอมแพ้ที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบนั้นๆ ก่อนที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบ ผมประเมินเองว่า ผู้ถามจะต้องประเมินหลายอย่าง เราลองมาไล่กันด...