Post#280:
เย็นนี้ผมต้องไปงานแต่งงานอดีตลูกน้องท่านหนึ่ง
ทุกครั้งที่ไปงานแต่งงาน ผู้คนส่วนใหญ่รวมทั้งผมด้วย ไปร่วมงานด้วยความแช่มชื่น และกลับบ้านด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ยินดีกับคู่บ่าว-สาว ที่จะได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่
ชีวิตคู่นั้น มีความแตกต่างจากชีวิตโสดค่อนข้างมาก และที่สำคัญคู่หนุ่มสาวที่กำลังจะแต่งงานหรือพึ่งจะแต่งงาน มักจะเข้าใจว่า "การแต่งงาน" คือ "เส้นชัย" แต่ตรงกันข้ามครับ จริงๆ แล้ว "การแต่งงาน" คือ "การเริ่มต้น" ต่างหาก และเป็นการเริ่มต้นที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง น่าสนใจที่จะเฝ้ามองและเอาใจช่วยคู่รักทั้งสอง ให้สามารถประคับประคองชีวิตสมรสให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ผมพึ่งฉลองครบรอบแต่งงาน 10 ปี ไปเมื่อไม่นานมานี้ และมั่นใจที่จะสรุปว่า การใช้ชีวิตคู่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อแต่งงานไปแล้ว อย่าคิดว่าอีกฝ่ายเป็น "ของเรา" เพราะคู่ชีวิตของเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อและหัวใจ มีความต้องการทางกายและใจที่แตกต่างจากเรา และเค้าหรือเธอก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนเรา และอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นเสมอไป
เคยอ่านเจอจาก Facebook นี่แหละครับ ที่เค้าว่า "บางคู่อยู่กันได้อย่างลงตัวที่สุดด้วยความเหมือน เหมือนตะเกียบ แต่บางคู่ก็อยู่เป็นคู่ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยความต่าง เช่น ช้อนกับส้อม" ดังนั้น จะผสมส่วนเหมือน ผสานส่วนต่างยังไง จึงเป็นเรื่องน่าสนใจมากๆ
เราอาจเรียกร้องให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ขณะที่เราฟูมฟายเรียกร้อง เราอาจลืมไปว่า เราก็ไม่ได้พยายามที่จะเข้าใจอีกฝ่ายเช่นกัน อาจมีบางเวลาที่ไม่เข้าใจ และอาจมีบางเวลาที่ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างมาก และยิ่งรักมาก ความรู้สึกเรียกร้องให้อีกฝ่ายมอบความรักที่มากกว่ากลับคืนมา จะยิ่งมากเป็นเท่าทวี
อย่างที่ผมเคยเล่าไว้ (Post#119 และ Post#160) "ความเข้าใจสำคัญสำหรับความรัก แต่ที่สำคัญมากยิ่งกว่าก็คือ การที่เรายังคงรัก...แม้ในวันที่เราไม่เข้าใจกัน" หากรักคู่ชีวิตของเราจริงๆ ต้องรู้จักลดทิฐิ ละศักดิ์ศรี และเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่คู่ชีวิตของเราจะพึงมี อย่าคาดหวังให้เค้าหรือเธอเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามที่ใจเราปรารถนา เพราะนั่นจะเป็นการผลักชีวิตคู่ให้ไปสู่จุดอับ
ควรพูดคุยทำความเข้าใจในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน, เวลา และอื่นๆ แบ่งส่วนให้ชัด นี่ส่วนของเรา นี่ส่วนของชั้น และนี่ส่วนของเธอ นี่คือช่วงเวลาส่วนตัวของเรา นี่คือช่วงที่ชั้นจะเป็นส่วนตัว อยู่กับตัวเอง อยู่กับเพื่อน หรืออยู่กับญาติพี่น้อง นี่คือเรื่องที่ชั้นไม่ชอบ เรื่องนี้เธอไม่ชอบ ถ้าเป็นไปได้ ก็อย่าไปวุ่นวายกันและกัน ฯลฯ
ถ้าไม่คุยกันให้ชัด พอมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ ต่างฝ่ายก็จะต่างเก็บ ในช่วงแรกๆ ที่ความรักต่อกันมีมาก ต่างฝ่ายก็จะถนอมน้ำใจกัน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เมื่อความรักเริ่มถูกความเคยชินเข้ามาครอบงำ ในวันที่ขาดสติ (มีแน่ๆ ครับ ระวัง) ไอ้สิ่งต่างๆ ที่เก็บทับไว้ มันจะปะทุออกมา และถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยอม เมื่อนั้น ชีวิตสมรสก็มีอันต้องล่มสลาย
ต้องรู้จัก "ทักทาย ขอโทษ ขอบคุณ ไม่เป็นไร ห่วงใย ออดอ้อน" อย่างเหมาะสม เน้นความบ่อย ไม่ใช่ความมาก แปลว่า แสดงออกบ่อยๆ ดีกว่านานๆ แสดงออกที (แม้ว่าแต่ละทีที่แสดงออกจะแสดงออกอย่างมากมายก็ตาม)
ช่วงรักขม ให้นึกถึงช่วงยังจีบกัน ทำไมตอนนั้นอะไรก็ดีไปหมด กว่าจะรักกันกว่าจะแต่งงานกันนั้นแสนยาก ดังนั้น อย่าให้อารมณ์แค่หนึ่งนาทีที่โกรธ มาพรากร้อยล้านนาทีที่ผ่านมาด้วยกันไปซะ (เปิดเพลง "กลับคำเสีย" ไปด้วย จะได้อารมณ์มาก อิอิ ^^)
ชีวิตคู่อยู่ด้วย "ความเข้าใจ" + "ความเชื่อใจ" + "ความห่วงใย" + "ความใส่ใจ" + "ความให้อภัย" และอีกหลากหลายส่วนผสม
และในเมื่อมีส่วนผสมหลายตัว จะผสมให้รสชาติกลมกล่อมลงตัวก็คงจะยากซะหน่อย แต่จะไม่ลองดูหรือครับ เพราะถ้าผสมลงตัวเมื่อไหร่ สองเราก็คงจะได้ดื่ม "น้ำผึ้งพระจันทร์" ทุกวัน จริงมั๊ยครับ
วันนี้ผมมาใน version หวานมากๆ ขอตัวไปกินยาลด "เบาหวาน" ของตัวเองก่อนละกันครับ ^^
Comments
Post a Comment