Skip to main content

Post#286: วิถีแห่งการเจรจาต่อรอง

Post#286:
จำได้ว่า ไม่นานมานี้ผมคุยถึงเรื่องเทคนิคการเจรจาต่อรองให้ฟัง (Post#260)

เหตุให้บังเอิญ วันนี้ผมกับหุ้นส่วนต่างชาติ มีอันต้องเจรจาต่อรองเรื่องบางเรื่องกับกลุ่มธุรกิจหนึ่ง ทำให้ผมเก็บมาวิเคราะห์ต่อว่า จริงๆ แล้ว การเจรจาต่อรองเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยการสังเกตและการวิเคราะห์ในระดับยิ่งยวด และที่สำคัญสติและสมาธิต้องจับอยู่กับการสนทนาอยู่ตลอดเวลา เผลอไปนิดเดียว เราอาจจะพลาดได้ง่ายๆ

อีกสิ่งที่ผมวิเคราะห์ต่อมาก็คือ การเจรจาต่อรองนั้น อาจแบ่งได้กว้างๆ เป็น 2 วิถี ซึ่งผมต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้เจาะจงถึงประเทศไหนเลยทั้งสิ้น เป็นการสรุปโดยรวมเทียบเคียงกับลักษณะการเจรจาต่อรองของสายอาชีพนั้นๆ เท่านั้นนะครับ

วิถีที่หนึ่ง เรียกว่า การเจรจาต่อรองแบบ Political-driven ซึ่งเป้าประสงค์หลัก อยู่ที่การต่อรองเพื่อประโยชน์สูงสุดของฝ่ายที่ตนเองสังกัด ทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบค่อนข้างมาก

ส่วนอีกวิถีหนึ่ง เรียกว่า การเจรจาต่อรองแบบ Diplomat-driven ซึ่งจะมีเป้าประสงค์หลัก อยู่ที่การต่อรองเพื่อให้แต่ละฝ่ายได้บางอย่างและอาจจะเสียบางอย่าง ที่ผมเรียกว่า trade-off นั่นแหละครับ

ดูเผินๆ โดยหลักการแล้ว ทุกคนอยากจะใช้วิถีที่สอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เกือบจะในทุกการเจรจา เราจำเป็นต้องใช้สไตล์การเจรจาทั้ง 2 วิถีนี้ สลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าภาพเล็กต้องเอาชนะ แต่ภาพใหญ่ต้องประนีประนอม จึงจะก้าวไปสู่การเจรจาต่อรองแบบ win-win

เรื่องบางเรื่อง เราจำเป็นต้องยืนกระต่ายขาเดียว ก็ต้องสู้ด้วย Political-driven แต่ในการเอาชนะนั้น บางมุมหรือบางตอน เราอาจต้องผสม Diplomat-driven ลงไปด้วย แต่ก็มีบางเรื่องที่เราจำเป็นต้องนำด้วย Diplomat-driven แต่ก็ต้องเจืออารมณ์ของ Political-driven อยู่ด้วย ส่วนจะเน้นไปที่วิถีไหนมากกว่า ก็ต้องดูว่า ตอนนั้นไพ่ในมือของใครเหนือกว่ากันล่ะครับ

ว่าด้วยสำนวนจอมยุทธ์ ก็คือ "แข็งกร้าวสลับอ่อนโยน ก็คือ ในจุดที่ต้องเอาชนะ ต้องยืนกรานด้วยความอ่อนโยน ในเรื่องที่สามารถพ่ายแพ้ ต้องยินยอมอย่างอิดเอื้อน" หมายความว่า เรื่องที่เราอยากชนะ ต้องเอาชนะด้วยหลักการที่เป็นที่ยอมรับ หนักแน่นแต่ไม่ก้าวร้าว ส่วนเรื่องที่เรายอมได้ อย่ายอมอย่างง่ายดายจนเกินไป เสมือนสิ่งที่เรายอมให้ไม่สลักสำคัญ ต้องยอมอย่างอิดเอื้อนแฝงจริตบ้าง


หวังว่า ผมคงไม่ทำให้งงจนเกินไปนะครับ แต่เรื่องการเจรจาต่อรองนี้ ใช้หลักการที่เป็นศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยไหวพริบและปฏิภาณอันเป็นศิลป์ควบคู่ไปด้วยจริงๆ ครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...